การเลือกตั้ง (Election) กับ เศรษฐกิจ (Economy) หรือ เศรษฐศาสตร์กับการเลือกคั้ง (Election Economics) การเลือกตั้ง (Election) ส่งผล (Impact) กับเศรษฐกิจ (Economic Growth) อย่างไร? .. ข่าวประกาศการเลือกตั้ง ผู้ขยับก่อนเลย คือ นักลงทุน (Investors) ใน ตลาดหุ้น หุ้น การลงทุน คาดหวัง เศรษฐกิจ แต่การเลือกงตั้ง จะส่งผล หรือ มีผลกระทบ อย่างไรต่อเศรษฐกิจ เราไปติดตามกันเลย (How Elections Impact The Economy?, The Effect of Elections on Economic Growth)
การเลือกตั้ง (Election) ส่งผลดีกับ เศรษฐกิจ (Economy) อย่างไร?
เป็นธรรมดา ที่เมื่อมีข่าวประกาศว่าจะมีการเลือกตั้ง (Election) สิ่งที่ขยับก่อนใครเลยคือ “นักลงทุน” (Investors) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะแสดงให้เราเห็นได้ในบรรยากาศการลงทุน ที่จะมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ยังคลุมเครือ
แล้วนักลงทุนเขามองอะไรกับข่าวนี้กันนะ? .. ในภาพรวม นักลงทุนมองว่า เป็นข่าวดี อีกทั้งยังมองว่า เศรษฐกิจระยะสั้น จะถูกกระตุ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีโอกาสที่จะเกิดการลงทุนระยะสั้นมากขึ้น อันจะส่งผลดีกับธุรกิจที่ตนลงทุนอยู่นั่นเอง ทำให้นักลงทุนกล้าตัดสินใจลงทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงลงทุนด้วยความคาดหวังนโยบายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เศรษฐกิจจากรัฐบาลในอนาคตด้วยเช่นกัน
สารบัญ
–การเลือกตั้ง (Election) ส่งผลอย่างไรต่อ การเติบโตเศรษฐกิจ (Economic Growth)
–คีย์เวิร์ดสำคัญ (Keywords) ของการเลือกตั้ง ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ
–สรุป:การเลือกตั้ง (Election) ส่งผลดีกับ เศรษฐกิจ (Economy) อย่างไร?
- ATM (ตู้เอทีเอ็ม) ทำไมถึงไม่มีแบงค์ 20 ให้กดกันนะ?
- ผลกระทบ โควิด19 (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
- การเลือกตั้ง ส่งผลดีกับ เศรษฐกิจ อย่างไร?
ทำไม การเลือกตั้ง (Election) ถึงเป็น “การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น” (Short-Run Economic Growth) แล้วกระตุ้นอย่างไร?
ในอดีต เมื่อมีการเลือกตั้ง (Election) ก็จะมีการทำป้ายประชาสัมพันธ์ติดประกาศตามสถานที่ต่างๆ (Billboard) บริษัท หรือ ห้างร้านที่รับทำป้ายสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็จะได้รายได้ ไม่เพียงเท่านั้น เราอาจจะเคยเห็นรถแห่ (รถยนต์ที่มีการประชาสัมพันธ์ด้วยป้ายหาเสียงและเสียงประกาศประชาสัมพันธ์)
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้เขียนเห็นการประชาสัมพันธ์ของพรรคหนึ่ง ใช้รถแห่ร่วม 10 คัน ผ่านหน้าบ้านไป บริษัท ธุรกิจ หรือห้างร้านที่รับบริการรถแห่ก็มีโอกาสได้รับรายได้ในช่วงนี้
รวมไปถึงการลงพื้นที่หาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ กระจายไปตามจังหวัด ซึ่งในแต่ละจังหวัดก็ต้องการการจัดเวที (Stage) การจัดการพื้นที่ ระบบเครื่องเสียง ระบบเสียงสี การประชาสัมพันธ์เชิญชวนคนมาร่วมฟังแถลงนโยบาย ซึ่งบริษัทหรือห้างร้านที่รับบริการจัดกิจกรรมต่างๆ (Event Organizers) ในจังหวัดนั้นๆ ในภูมิภาคนั้นๆก็จะได้มีโอกาสได้รายได้จากส่วนนี้ด้วย ยังไม่รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าที่จะมาทำการค้าขายทั่วบริเวณที่มีกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมาบางส่วนเพื่อให้เห็นภาพ
ปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ ถูกพัฒนาจนมาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ พฤติกรรมผู้คน (Consumer Behavior) เปลี่ยนไป จากรับชมผ่านโทรทัศน์ (TV) ก็เปลี่ยนมารับชมจากสมาร์ทโฟน (Smartphone) ด้วย Streaming TV จากที่ฟังวิทยุ (Radio) ก็เปลี่ยนมาฟัง Music Streaming หรือ Podcast (พอดแคสต์) แทน แต่รูปแบบก็ยังเป็นการรับชม และรับฟังเหมือนเดิม เพียงแค่เปลี่ยน อุปกรณ์ (Devices) ในการรับรู้สื่อเท่านั้น
อันเราจะเห็นได้ว่า พรรคการเมืองอาจเลือกบุคคล หรือ แฟนเพจ (Pages) หรือ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencers) ในการลงประชาสัมพันธ์ของพรรค เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึง (Reach and Brand Awareness) ของประชาชน
แต่ถึงอย่างนั้น .. ทุกรูปแบบในอดีตจนถึงปัจจุบันยังต้องมีอยู่ เพราะ ไม่ใช่ทุกพื้นที่ ผู้คนทุกคนจะเปลี่ยนพฤติกรรมไปทั้งหมด อีกทั้งการประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ การตั้งเวที หาเสียงยังคงต้องมีอยู่ การใช้บริการรถแห่ยังคงต้องมีอยู่ การประชาสัมพันธ์ผ่านบุคคลบนแพลตฟอร์มก็ยังคงต้องมี เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างวงกว้างมากที่สุด มีแรงกระเพื่อม (Impact) มากที่สุด
ข้อสังเกต หากพรรคการเมืองเลือกใดที่จะประชาสัมพันธ์ผ่านแพลตฟอร์มโดยตรง เม็ดเงินประชาสัมพันธ์เหล่านี้จะไม่ถูกนำมาหมุนภายในประเทศ แต่จะถูกไหลออกไปยังต่างประเทศ กล่าวคือ บริษัท ต้นทางของแพลตฟอร์มนั่นเอง การเลือกลงประชาสัมพันธ์ จึงควรเลือกลงสื่อผ่านโปรไฟล์แฟนเพจ หรือโปรไฟล์บุคคลทั่วไปแทน จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ไหลเข้าสู่ระบบภายประเทศได้ดีกว่ามาก อาศัยการทำ การตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) หรือ ภาษาการเมืองจะเรียกว่า “หัวคะแนน” คือ ผู้ที่มีอิทธิพลในการโน้มน้าวผู้อื่น (ในมุมของของการตลาด)
อ่านเพิ่มเติม:
–Podcast คืออะไร? .. แล้วทำไมถึงควรมีเอาไว้?
–วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย .. จะไปต่ออย่างไร?
–Influencer Marketing กับ เศรษฐกิจไทย
–Work From Home Platform | แพลตฟอร์ม สำหรับทำงานที่บ้าน สัญชาติไทย
–ธุรกิจ Freemium Model รายได้มาจาก Premium Users มากที่สุดจริงหรือ?
คีย์เวิร์ดสำคัญ (Keywords) ของการเลือกตั้ง ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ .. “การสร้างความมั่นใจ”
เมื่อพูดถึง การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแล้ว แล้วการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวล่ะ การเลือกตั้งส่งผลอย่างไรบ้าง? ..
ผู้เขียนต้องขอตอบแบบมุมมองนักลงทุนระยะยาว คือ การสร้างความมั่นใจให้กับผู้คน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวได้อย่างดีวิธีหนึ่ง แต่ทำไมกันนะ ..
อ่านเพิ่มเติม:
– ผลกระทบ โควิด19 (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ความมั่นใจที่เกิดจาก ความมั่นใจที่ว่ารัฐบาลที่ตนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมา จะผลักดันนโยบายต่างๆ ตามที่หาเสียงไว้ รวมไปถึง พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงสร้าง ปรับปรุง หรือพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ระบบการจัดการต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศดีขึ้น มีโอกาสในชีวิตมาขึ้น สามารถทำงานหากินได้อย่างมีสวัสดิภาพ
สร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ (Industry)
ความมั่นใจการลงทุนของภาครัฐ เพราะ การลงทุนของภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงความมั่นใจด้านความต่อเนื่องของนโยบายของรัฐบาล โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่มาจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ส่งผลโดยตรงกับการลงทุนของภาคธุรกิจ
เช่น “การลดอัตราภาษีสำหรับผู้ที่ .. เพื่อช่วยแก้ปัญหา ..” เพื่อกระตุ้นการลงทุน กระตุ้นการพัฒนาธุรกิจให้มากขึ้น “การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับผู้ที่ลงทุนในกิจการ ..” เพื่อสร้างกิจการใหม่ๆ หรือ“การรับเงินทุนสนับสนุนจากธุรกิจที่รัฐต้องการพัฒนาประเทศ” เป็นต้น
ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ (Large Enterprises) ผู้ประกอบการขนาดกลาง (Medium Enterprises) รวมไปถึงผู้ประกอบการรายย่อยต่าง ๆ (SMEs) อาจจะยังไม่มั่นใจที่จะลงทุนขยายและพัฒนาในกิจการภายในประเทศ ไม่มั่นใจในการลงทุนทำตลาด หรือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ไม่มั่นใจในความต่อเนื่อง ว่าหากตัดสินใจลงทุนในกิจการไปแล้ว อาจจะชะลอแผนการขยายกิจการ และการลงทุนภายในประเทศออกไปก่อน และหันไปพัฒนาและลงทุนในกิจการของตนในต่างประเทศแทน เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ และเพื่อการขยายตัวทางธุรกิจในประเทศที่มีเสถียรภาพและมีโอกาสมากกว่า
สร้างความมั่นใจให้กับ นักลงทุน (Investors)
คงต้องบอกว่า ภาคการลงทุนไม่ใช่มีแค่คนไม่กี่คน แต่ อาศัยการลงทุนจากทั้งผู้คนภายในประเทศ สถานบันการเงิน กองทุนต่างๆ รวมไปถึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างๆ ใช้ตัดสินใจก่อนการลงทุน คือ เสถียรภาพของประเทศ ในอีกนัยหนึ่งก็คือ จากการสร้างความมั่นใจจากรัฐบาลให้กับภาคประชาชนและภาคธุรกิจนั่นเอง
เมื่อนักลงทุนมั่นใจก็จะเกิดการลงทุนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ นักลงทุนอาจจะตัดสินใจย้ายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆที่มีเสถียรภาพมากกว่า เศรษฐกิจดีกว่า แต่เมื่อประเทศมีความมั่นใจกลับคืนมา นักลงทุนต่างๆ ก็มีโอกาสจะหันมาลงทุนภายในประเทศมากขึ้น
สร้างความมั่นใจให้กับต่างประเทศ (Foreigners or Tourism)
ปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกของเราแคบลงทุกวัน ของจากประเทศหนึ่งสามารถ ส่งไปขายให้กับอีกประเทศหนึ่งได้ เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีทรัพยากรที่เป็นที่ต้องการของกันและกัน อาศัยข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศในการช่วยจูงใจให้ผู้นำเข้าส่งออก ดำเนินกิจการนำเข้าส่งออกสินค้าภายในประเทศออกไปขายยังตลาดประเทศ
รวมไปถึงนโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐก็มีผลอย่างมาก อาจจะเป็นการทำข้อตกลงร่วมระหว่างประเทศระหว่างรัฐบาลและรัฐบาล ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นและจูงใจผู้ประกอบการธุรกิจนี้ เช่น ข้อตกลงการค้าเสรี ข้อตกลงการค้าปลอดภาษี ข้อตกลงการค้าระหว่าง 2 ประเทศโดยเฉพาะ ภาคธุรกิจการนำเข้าส่งออกเองก็เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่ใช้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ภาคธุรกิจท่องเที่ยว และ ภาคยริการ (Tourism and Service Industry) .. ถือว่าเป็นหนึ่งใน รายได้หลัก ของประเทศไทย ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วยเช่นกัน ตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของความรู้สึกมั่นใจของนักท่องเที่ยว ว่าการเดินทางไปยังประเทศใดประเทศหนึ่ง ภาครัฐ ภาคเอกชนก็ต้องดำเนินนโยบายเพื่อให้ชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยว หรือแม้แต่คนภายในประเทศเอง มั่นใจ ด้วยการมีเสถียรภาพ
อาจจะมาจากปัจจัยภายนอกด้วยส่วนหนึ่ง เพราะ เมื่อไม่มีการเลือกตั้ง บางประเทศก็จะไม่แนะนำหรือจูงใจให้ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวของตนไปยังประเทศที่อยู่ในรายชื่อประเทศที่อาจสุ่มเสี่ยง ไม่ปลอดภัย หรืออะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยภายนอกที่ แต่ละประเทศก็มีเกณฑ์การวัดที่ต่างกันออกไป
เพราะ สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของสวัสดิภาของประชาชนในประเทศของตนเอง เพื่อให้การมาท่องเที่ยว หรือมาพักผ่อน ที่ต่างประเทศ ของประชาการของตน รู้สึกสบายใจ รู้สึกปลอดภัย ที่จะเดินทางไปยังประเทศต่างๆ
ซึ่ง หากมีการประกาศเลือกตั้ง ประเทศที่มีกฏเกณฑ์เหล่านั้น ก็อาจจะปลดชั้นและกลับมาแนะนำประชากรในประเทศของตนมากขึ้น ก็จะส่งผลดีกับการท่องเที่ยวในบ้านเรา
หรือแม้แต่ หลังการเลือกตั้ง หรือจะด้วยการสร้างจุดขาย ความน่าสนใจใหม่ๆ รัฐบาลอาจเร่งสร้างความมั่นใจด้วยวิธีการต่างๆ อาจจะด้วยการออกนโยบายบริหารจัดการ แก้ไข พัฒนาปัญหาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เพื่อสร้างความมั่นใจ แล้วมันก็จะส่งผลไปยังธุรกิจอื่นๆตามมา
อ่านเพิ่มเติม:
–วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย .. จะไปต่ออย่างไร?
ดังจะเห็นได้ว่า ทุกๆภาคส่วน มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ส่งเสริมเกื้อหนุนระหว่างกัน รัฐบาลดำเนินนโยบายภาครัฐ เม็ดเงินกระจายลงมายังภาคประชาชน นับมาจับจ่ายใช้สอย เงินที่ออมอยู่ไม่กล้านำออกมา ก็หันมาลงทุนมากยิ่งขึ้น เงินก็จะไหลไปสู่ภาคธุรกิจมากขึ้น ภาคธุรกิจก็มีผลประกอบการที่ดีขึ้น นำมาลงทุนขยายกิจการเพิ่มขึ้น
เมื่อความเชื่อมั่นกลับมา นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมา ก็จะเกิดการไหลเวียนของเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศมากขึ้น ภาคธุรกิจการนำเข้าส่งออกก็ได้ประโยชน์การที่เงินในระบบหมุนเวียนของเงินตราระหว่างประเทศ และเมื่อภาคธุรกิจโดยรวมมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ก็ต้องจ่ายภาษี เงินก็จะไหลกับมาจากรัฐบาล ..
“เป็นการไหลเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ” ที่ช่วยให้ทุกภาคส่วนเติบโตไปพร้อมๆกัน ซึ่งหากส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบได้รับเงินมาจากระบบ แต่เกิดความไม่มั่นใจที่จะใช้สอยออกไป ย่อมทำให้ภาพร่วมของระบบเศรษฐกิจหยุดชะงัก ชะลอตัว เพราะไม่เกิดการไหลเวียน หมุนเวียนเงินในประเทศนั่นเอง
เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากหลากหลายปัจจัยที่เกื้อหนุนกัน เราไม่สามารถให้ กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Sector) เพื่อแบกทั้งประเทศได้ หรือ ใช้เป็นเครื่องชี้วัดว่า เศรษฐกิจของเราดีแล้วในภาพรวม ซึ่งหากเราพึ่งพาอุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป ย่อมมีความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
สรุป:การเลือกตั้ง (Election) ส่งผลดีกับ เศรษฐกิจ (Economy) อย่างไร?
การเลือกตั้ง (Election) ส่งผลต่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น (Short-run Economic Growth) จากการหาเสียง ประชาสัมพันธ์ของพรรคการเมืองต่างๆ และการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนของพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นรัฐบาล จะส่งผลต่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว (Long-run Economic Growth) ด้วยเม็ดเงินจับจ่ายใช้สอยจากภาคประชาชน เม็ดเงินลงทุนจากภาคธุรกิจ ที่เพิ่มขึ้นด้วยความมั่นใจมากนั่นเอง คล้ายกับการรดน้ำต้นไม้ อาจจะไม่เห็นผลในทันที แต่สิ่งที่เป็นคือ ต้นไม้ก็ได้น้ำ ควมชุ่มช่ำก็กลับมา อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้สดชื่น ทำให้ได้หายใจหายคอกันบ้าง แล้วค่อยเติบโตได้ด้วยต้นเองอย่างมั่นใจ เติบโตจากฐานราก สู่ กิ่งก้าน เติบโตจากจุลภาค สู่ มหภาค จากผู้ประกอบการรายเล็ก สู่ ผู้ประกอบการรายใหญ่ จากชุมชนสู่จังหวัด จากจังหวัดสู่ภูมิภาค จากภูมิภาคสู่ระดับประเทศ ผลออกดอกออกผล รวมถึงแข็งแรงตั้งแต่ราก ไปจนถึงลำต้น กิ่ง และใบ กลายเป็นต้นไม้ที่เขียวชะอุ่ม อุดมสมบูรณ์และแข็งแรง
อ้างอิง :
–ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์มหภาค