ชิมช้อปใช้ .. คืออะไร มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร? .. ตัวอย่างการใช้ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (G-Wallet) กับ ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) มาตราการ เยียวยา หรือ กระตุ้นเศรษฐกิจ .. ลงทะเบียนว่างงาน ลงละเบียนคืนเงิน ลงทะเบียนรับเงิน รับเงินคืน บัตรคนจนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราจะไม่ทิ้งกัน เน็ตฟรี ลงทะเบียนอินเตอร์เน็ตฟรี..

สารบัญ

1.โครงการ “ชิมช้อปใช้” คืออะไร?
2.โครงการ “ชิมช้อปใช้” เจาะกลุ่มเป้าหมายใดกันแน่?
3.การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ชิมช้อปใช้ ได้อย่างไรบ้าง?
4.ข้อดีของโครงการ
5.ข้อจำกัดของโครงการ
6.ข้อเสนอะแนะ

ชิมช้อปใช้ คืออะไร .. มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร?

โครงการ “ชิมช้อปใช้” คืออะไร?

“ชิม ช้อป ใช้” ถือว่าเป็นมาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยความร่วมมือ ของ กระทรวงการคลัง (Ministry of Finance, MOF) กรมบัญชีกลาง (The Comptroller General’s Department, CGD) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (Fiscal Policy Office, FPO) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (Ministry of Tourism and Sports, MOTS) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (Tourism Authority of Thailand, TAT) และ ธนาคารกรุงไทย (KrungThai Bank, KTB) เป็นต้น

โดยมีตัวกลาง คือ แอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ซึ่งเป็น กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ถือเป็น “G-Wallet” และเป็นแพลตฟอร์มบริการดิจิตอล (Digital Services Platform) สำหรับชำระเงิน เฉพาะกับ ร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนและใช้บริการแพลตฟอร์ม “ถุงเงิน” เท่านั้น ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานรัฐบาล (Goverment) และธนาคารกรุงไทย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบาย (Policy) เรียกว่า “นโยบายการคลัง” (Fiscal Policy)

โดย ชิมช้อปใช้ มีรูปแบบนโยบาย 2 อย่าง คือ
1. สิทธิ์รับเงิน 1,000 บาท ต่อคน ต่อหนึ่งสิทธิ์ ถูกเรียกว่า “กระเป๋าที่ 1”
2. สิทธิ์รับ Cashback (เครดิตเงินคืน) 15% กำหนดยอดใช้จ่ายสูงสุด 30,000 บาทต่อคน (หรือคิดเป็น เครดิตเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท) โดยเป็นการเติมเงินเข้า G-Wallet ถูกเรียกว่า “กระเป๋าที่ 2”

ซึ่งนอกจากผู้ใช้สิทธิต้องลงทะเบียนเข้าร่วมแล้ว ฝั่งร้านค้าที่ร่วมรายการเองก็ต้องลงทะเบียนเช่นกัน

โดย “จุดประสงค์หลัก” (Objectives) ของโครงการฯ คือ “การกระจายรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินลงสู่กิจกรรมเศรษฐกิจในระดับล่าง” ภายในโครงสร้างเศรษฐกิจ (Economic Structure)

แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆไหม เราไปเริ่มติดตามกันเลย ..



โครงการ “ชิมช้อปใช้” เจาะกลุ่มเป้าหมายใดกันแน่?


เอาหล่ะ ก่อนที่เราจะเริ่มวิพากษ์นโยบายใดๆ เราต้องเปิดใจให้กว้าง และอธิบายอย่างตรงไปตรงมา เพื่อชี้ให้เห็นข้อดี ข้อจำกัด เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน อยู่บนพื้นฐานของความหวังดีต่อผู้อื่นและสังคมเช่นเดียวกัน

ค่อยๆเริ่มวิเคราะห์กันเลย .. โดยเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ (ข้อมูลจากเว็บไซต์)

  • 1. เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน
  • 2. มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
  • 3. มีโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน (Smartphone) ที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตและมีอีเมล

จากเงื่อนไขดังกล่าว .. เราจะเริ่มพอเห็นภาพว่า .. โครงการนี้ “รัฐบาล” ต้องการดำเนินการ “ดึงเงิน” ออกจากกระเป๋าใคร เพื่อดึงให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ คำตอบก็ คือ .. คนที่อยู่ใน “วัยเริ่มต้นทำงาน” และ/หรือ “ผู้มีรายได้ปลายกลาง-รายได้สูง” จำนวน 10 ล้านคน

ตัวบ่งขี้ที่สำคัญคือ ข้อที่ 3 คือ มี “สมาร์ทโฟน” อินเทอร์เน็ต และอีเมล ซึ่งหมายถึง ต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ระดับหนึ่ง และอยู่ในวัยที่ใช้อินเทอร์เน็ตอีเมลเป็น คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี

และ อีกจุดสังเกตสำคัญ คือ หากโครงการฯ ไปทำการดึงเงินจากเกษตรกร ผู้ประกอบการรายเล็ก รายจิ๋ว ที่ได้รับผลกระทบ และ ไม่มีเงิน หรือไม่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว ตัวโครงการฯ ก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี จึงต้องการดึงเงินจากกลุ่ม “มนุษย์เงินเดือน” ที่มี “รายได้ประจำ” ต่างหาก ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก เพื่อกระจายเงินสู่ระบบเศรษฐกิจระดับล่าง และต้องกล่าวตามตรง อย่างตรงไปตรงมาว่า ผู้คนในเศรษฐกิจระดับล่าง ต้องรอมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ อาทิ โครงการอื่นๆ ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเกษตรกร และ ผู้ประกอบการเล็กๆต่อไป


การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ชิมช้อปใช้ ได้อย่างไรบ้าง?

ต้องอธิบายก่อนว่า “โครงสร้างเศรษฐกิจ”  ของประเทศไทย ตามการรายงานประจำปี 2561 ตัวเลข “การบริโภคภายในประเทศ” มีสัดส่วน 49% จากทั้งหมด รองจากภาคการส่งออก

โดยในภาคการส่งออกเองก็ได้รับผลกระทบ จาก “ปัจจัยภายนอก” (External Factors) เช่น ค่าเงินบาท (Thai Baht) ที่แข็งค่าขึ้น จากสงครามการค้า (Trade War) และ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก (Exports) รวมถึง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ราคาสินค้าโดยรวมแพงขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะ “เงินเฟ้อ” (Inflation)

ในส่วน การบริโภคภายในประเทศ เป็น “ปัจจัยภายใน” (Internal Factors) ซึ่งอาจจะเกิดมาจากปัญหา “หนี้ครัวเรือน” (Household Debt) เอง ที่ผู้คนอาจจะยอมเป็นหนี้ในสินทรัพย์ใหญ่มากกว่าการจับจ่ายใช้สอยทั่วไป ทำให้ “กำลังซื้อลดลง” และ เมื่อการบริโภคลดลง ก็เป็นธรรมดาที่เศรษฐกิจในประเทศจะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะมีสัดส่วนที่สูงรองลงมาเป็นอันดันสอง และเมื่อการบริโภคภายในประเทศชะลอตัว  การผลิตและการจ้างงาน หรือ การลงทุนเพิ่มจากภาคธุรกิจ ก็ต้องมีการปรับสัดส่วนลดลง หรือ ชะลอออกไปก่อน การว่างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนไม่มีรายได้ ส่งผลให้เกิด “เงินฝืด” (Deflation)

บางคนถามว่า “ค่าเงินบาทแข็งค่า” (THB Appreciation) ก็ดีสี .. ซื้อเครื่องจักรต่างประเทศมาลงทุน ในราคาที่ถูก .. หากมองให้กว้าง การบริโภคชะลอตัวแบบนี้ ใครจะกล้าลงทุน ลงทุนไปแล้วจะสามารถเพิ่มยอดขายจนคืนทุนในเวลาที่กำหนดได้หรือไม่ แถมเป็นการทำให้ เงินที่ฝืดอยู่แล้ว ไหลออกไปมากกว่าเดิมอีก

และต้องบอกตามจริงว่า “เศรษฐกิจ” (Econony) เราอาจจะกำลังเผชิญปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจริงๆ และชื่อโครงการก็บ่งบอกชัดเจนว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ซึ่งจะทำเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึง “ปัญหาด้านกำลังซื้อ” ของคนในประเทศ และอีกส่วนหนึ่งพิจารณาจากการตอบสนองโครงการ ที่ได้รับการตอบสนองสูงมากกว่าโครงการอื่นๆ

ซึ่งแจมเพย์ให้ความเห็นว่า เมื่อเอาทั้งสองเหตุการณ์มาประกอบกัน ประเทศอาจจะกำลังเจอ สถานการณ์ที่เรีกยว่า “Stagflation” คือ “เงินเฟ้อและเงินฝืดเกิดขึ้นพร้อมกัน” กล่าวคือ “เงินก็ฝืดอยู่แล้ว แถมเงินที่มีอยู่ ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะซื้อของอีก เพราะของก็แพงขึ้นๆ” และปัญหานี้ เป็นปัญหาที่แก้ยากมาก และต้องเลือกแก้ไปทีละอย่าง (Trade-Off) เพราะเกี่ยวเนื่องทั้ง “นโยบายการเงิน” (Monetary Policy) และ “นโยบายการคลัง” (Fiscal Policy) ซึ่งก็เป็นเรื่องของหน่วยงานที่ต่างกัน

ดังนั้น การดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะทำได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ก็ต้องบอกว่า มีความจำเป็นอย่างมากในการบรรเทาเบื้องต้น ที่จะต้อง “กระจายรายได้” ลงไปสู่เศรษฐกิจระดับล่าง (Micro Economics) ให้ได้มากที่สุด ป้องกันเม็ดเงินไหลออก และ ที่เงินฝืดส่วนหนึ่ง การที่เม็ดเงินส่วนใหญ่ลงไปไม่ถึงระบบเศรษฐกิจระดับล่าง นั้นมีหลายปัจจัยมากๆ ซึ่งถือว่า เป็นบุคคลส่วนใหญ่ของประเทศ  ดังที่อธิบายไปแล้วว่า จะไปดึงเงินจากระบบเศรษฐกิจระดับล่างได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่มีเงินจะให้ดึงแล้ว

โดยการดึงเงินจาก  “ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ถึง ผู้ที่มีรายได้สูง” ให้ “เติมเงิน” ของตนเข้า “G-Wallet” และออกไปใช้จ่ายใช้สอยใน “เศรษฐกิจระดับล่าง” บ้าง ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้วว่า .. ปัจจุบัน มีแพลตฟอร์มบริการออนไลน์ (Digital Services Platforms) ต่างๆมากมาย รวมถึง บางครั้งผู้คนสมัยใหม่มีได้รายได้จากธุรกิจออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ผู้มีอิทธิพลทางการตลาด (Influences) ยูทูปเบอร์ (YouTubers) นักเล่นเกมส์ (Gamers) นักเขียนอิสระ (Content Writers) นักสร้างสรรเนื้อหาต่างๆ (Content Creators) และอีกหลายๆอาชีพที่เกิดขึ้นมาใหม่ในปัจจุบัน เป็นต้น เป็นอีกแง่หนึ่ง ที่ทำให้เงินลงไปไม่ถึง ผู้ประกอบการรายย่อย (Micro Businesses) อื่นๆ รวมถึง การไปเที่ยวต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นในปัจจุบัน ทำให้คนเลือกไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่าท่องเที่ยวภายในประเทศ

ซึ่งในมุมผู้บริโภคทั่วไป ต้องให้มุมมองที่เป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วยว่า เขาเองก็ไม่ผิดที่จะเลือกใช้บริการ หรือไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ตอบสนองเขาได้ดีกว่า สะดวกสบายกว่า มีมาตรฐาน และความน่าเชื่อถือที่ดีกว่า ซึ่งนั่นเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินไม่ไหลไปถึงมือของผู้ประกอบการรายย่อยๆโดยไม่รู้ตัว และส่งผลกับภาพรวมของเศรษฐกิจภายในประเทศโดยตรง

ส่วนจะมีนโยบายในระยะยาวใดๆตามมาหรือไม่ ก็คงต้องติดตามต่อไป

มาถึงข้อดี กับ ข้อจำกัดกันบ้าง ..

อ่านเพิ่มเติม บทความที่น่าสนใจ:
วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย .. จะไปต่ออย่างไร?
เงินบาทแข็งค่า เงินบาทอ่อนค่า ใครถูกใจสิ่งนี้?
บำนาญ-สวัสดิการ ของ งานราชการ-บริษัท อาจมีปัญหา เราเตรียมตัวอย่างไร?
Work From Home Platform | “แพลตฟอร์ม สำหรับทำงานที่บ้าน” สัญชาติไทย


ข้อดีของโครงการ

  • เปลี่ยนพฤติกรรมของคนให้เข้าสู่ระบบนิเวศ “การซื้อ-ขายและชำระเงินออนไลน์” (e-Commerce) ผ่าน “กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์” (e-Wallet) ด้วยโมเดล Freemium และ Caskback นี้  เป็นวิธีเดียวกับ แพลตฟอร์มใหญ่ๆต่างๆ ใช้ดึง “ผู้ใช้งานใหม่” (New Entry Users)  เข้าสู่แพลตฟอร์ม อาทิ การใช้ โค้ดส่วนลด (Discount Coupon) หรือ โปรโมชั่น จัดส่งฟรี ที่ทำให้ผู้คนหันมาใช้บริการของผู้ให้บริการนั้นๆ ล้นหลาม ซึ่งถือเป็น “กิจกรรมใช้จ่ายเพื่อการลงทุน” (Capital Expenditures) เพื่อเปลี่ยน “พฤติกรรมผู้บริโภค” (Customer Bahavior) ให้หันมาใช้บริการของตน .. ในทางเดียวกัน ในส่วนมาตรการของรัฐ เป็นการใช้เม็ดเงิน 1,000 บาท และ Cashback 15% เพื่อดึงทั้ง “ผู้ซื้อ” และ ผู้ขาย หรือ “ผู้ประกอบการ” (Businesses) ให้สามารถใช้แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์แบบนี้ได้มากขึ้น เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) เพื่อประโยชน์ในการวางรากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ต่อไป (อ่านเพิ่มเติม: Freemium คืออะไร? ดีอย่างไร? วันนี้เรามาทำความรู้จักกัน
  • รับ Cashback 15%  อย่างที่กล่าวไปในตอนต้น คือ โครงการฯ ต้องการเจาะกลุ่ม คนมีรายได้ปานกลาง-รายได้สูง ซึ่งต้องอธิบายก่อนว่า “ประสิทธิภาพของ เครดิตเงินคืน” คือ ควรจะจ่ายเต็มวงเงิน เพื่อให้ได้รับ “เงินคืน” อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งการจ่ายเต็มจำนวน เท่ากับ 30,000 บาท ได้รับเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท นั่นเอง ซึ่งหากคุณจ่ายทีละ 1,000 2,000 จนครบ จะไม่มีประสิทธิภาพเลย (อ่านเพิ่มเติม: Cashback หรือ เครดิตเงินคืน คืออะไร? ยิ่งช้อป! ยิ่งได้เงินคืน! เขาทำได้อย่างไร? )
  • ดึงเงินผู้ที่มีรายได้ปานปลาง ถึง ผู้ที่มีรายได้สูง เข้ามาในระบบ ต้องอธิบายก่อนว่า ผู้ที่มีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่จะเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ว่าจะจากทั้งฝั่ง “ข้าราชการ” หรือ “พนักงานบริษัทเอกชน” ที่ได้รับผลกระทบน้อยมาก จากการชะลอตัวเศรษฐกิจ กล่าวคือ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร พวกเขายังคงมี “รายได้ประจำ” ซึ่งจะต่างจากผู้ที่ทำอาชีพเกษตรกร และ ผู้ประกอบการรายย่อย เพียงแต่จะได้รับผลกระทบจาก “อัตราเงินเฟ้อ” จากปัจจัยระดับประเทศ และ “หนี้ครัวเรือน” จากปัจจัยส่วนตัว ดังนั้น การดึงเงินออกจากกลุ่มเป้าหมายนี้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงมีโอกาสที่คนกลุ่มนี้จะควักกระเป๋าตัวเองจ่ายเพิ่มลงไประหว่างการเข้าร่วมโครงการ หรือ ระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆได้อีกด้วย
  • สร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) “ในยุคปัจจุบันคนที่มีอำนาจมากที่สุด คือ คนที่มีฐานข้อมูลในมือมากที่สุด” และการจะทำอย่างนั้นได้ ต้องอาศัยแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ ในการรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก การวางฐานระบบปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI) เพื่อการจัดการฐานข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพราะคงไม่มีใครมานั่งอ่านข้อมูลผู้ใช้งาน 10 ล้านคนและค่อยๆแยกหมวดหมู่แน่นอน รวมถึงความปลอดภัยของฐานข้อมูล เป็นประโยชน์กับการทำงานในอนาคต ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการนำข้อมูลตรงนี้ไปวางแผนและนโยบายทางด้านเศรษฐกิจต่อไป ว่าใครใช้จ่ายกับสินค้าอะไร จำนวนที่ใช้จ่ายมีแค่ไหน และทำไมถึงเป็นอย่างนั้น (อ่านเพิ่มเติม: อุตสาหกรรมดิจิทัล มีข้อดี-ข้อเสีย ต่อ เศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไร)

 


ข้อจำกัดของโครงการ

  • กลุ่มเป้าหมาย (อาจ) ไม่ได้เข้าร่วมโครงการมากเพียงพอ กล่าวคือ มีโอกาสสูงที่ กลุ่มคนที่มีกำลังซื้ออยู่ในระดับปานกลาง หรือ ระดับสูง ไม่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ เพราะ อาจจะมองว่า ให้สิทธิ์กับคนอื่นแทนตน หรือมองว่า สิทธิ์ไม่จูงใจมากพอ หรือ ไม่ได้เข้าร่วมด้วยวัตถุประสงค์อื่นๆ เป็นต้น เพราะอย่าลืมว่า มีจำนวนสิทธิ์จำกัดเพียง 10 ล้านคนเท่านั้น จากประชากรทั้งสิ้นประมาณ 66 ล้านคน
  • จำนวนเม็ดเงินจากกระเป๋าที่ 2 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่โครงการฯต้องการ อาจไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ กลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการใช้ใช้จ่าย “ระวังการใช้จ่าย” มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งบางความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลน์ที่บอกว่า สถานการณ์แบบนี้ให้ออมเงินให้ได้มากที่สุด อย่าใช้จ่าย .. ซึ่งต้องบอกว่า เป็นความคิดเห็นที่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ทุกท่านลองนึกภาพตาม หากทุกคนไม่ใช้จ่ายออกมาเลย ธุรกิจ ห้างร้าน บริษัท จะดำเนินธุรกิจไปข้างหน้าไปได้อย่างไร เศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างไร ซึ่งการประกันความเสี่ยงของทุกท่าน จริงๆควรอยู่ในรูปของการลงทุนมากกว่า เก็บไว้เฉยๆไม่นำออกมาใช้จ่าย และในทางกลับกัน อาจจะด้วยปัญหา “หนี้ครัวเรือน” (Household Debt) ที่เพิ่มสูงขึ้น อันนี้ก็ให้นึกภาพตามว่า เป็นการใช้จ่ายที่มากเกินตัวของบุคคลในเช่นกัน ทำให้ “กำลังซื้อลดลง” (Purchasing Power) อาจส่งผลทำให้ จำนวนเม็ดเงินเป้าหมายจากกระเป๋าที่ 2 ที่โครงการฯต้องการ อาจไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้  (อ่านเพิ่มเติม : วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย .. จะไปต่ออย่างไร? )
  • ร้านค้ารายย่อยบางร้านตั้งอยู่ไกลจาก แหล่งชุมชน หรือ แหล่งท่องเที่ยว เมื่อสถานที่ตั้งอยู่ห่างไกลมากๆ ทำให้ผู้ใช้จ่ายรู้สึกว่าจะเดินทางไปไกลเพื่อใช้จ่ายทำไม ซึ่งจะส่งผลทำให้ เกิดการใช้จ่ายไม่ตรงวัตถุประสงค์ของโครงการ และทำให้เกิดการใช้จ่ายในจุด หรือ ร้านค้าที่สะดวกกว่า ก็จะส่งผลต่อการกระจายรายได้ลงสู่ร้านเล็กๆ  พิจารณาจาก บริการรับจ้างซื้อสินค้าจัดส่งถึงที่ (Delivery Services) ที่ค่อยๆเติบโตขึ้น ซึ่งบ่งบอกรูปแบบลักษณะพฤติกรรมผู้คน (Behaviors) ได้ส่วนหนึ่ง
  • การหมุนเวียนเงินระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันทำได้ยากขึ้น ต้องอธิบายก่อนว่า มีหลายปัจจัยที่จะทำให้การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจไม่ได้จำนวนรอบที่ควรจะเป็นตามทฤษฏี ดังเช่นที่อธิบายไปข้างต้นแล้ว ในเรื่องสินค้าและบริการในปัจจุบัน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ข้อเสนอะแนะ

  • คุณภาพของสินค้าและบริการ และความซื่อสัตย์ ของร้านค้าและผู้ใช้จ่ายเอง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ มอบสินค้าและบริการที่ดีให้กับลูกค้า จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ให้ผู้อ่านเห็นภาพ เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางด้วยรถไฟชั้นธรรมดา ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ผู้เขียนอยากจะอุดหนุนชาวบ้านที่มาขายของบนรถไฟ ด้วยการซื้อน้ำดื่มเย็นๆ เมื่อซื้อมาก็เปิดขวดดื่ม พบว่า น้ำรสชาติแปลกๆมีรสดินๆ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนเปิด เกลียวเปิดมันไม่ดังและเปิดง่ายเกินไป แถมน้ำที่ดื่มยังรสแปลกๆอีก .. จึงรับรู้ได้ทันที ว่าโดนเข้าแล้ว เอาหล่ะ น้ำเย็นก็จริง แต่เขาไปเอาน้ำจากไหนมาใส่แช่เย็นขาย และไปเอาขวดจากไหนมาบรรจุขาย ล้างสะอาดไหม ใช้อะไรล้าง ส่วนตัวเราก็คิดว่า ช่างมันเถอะ ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น และคงไม่ซื้อหรือใช้บริการอีก ถ้าจำเป็นจริงๆ คงซื้อร้านสะดวกซื้อก่อนเดินทางเหมือนเดิม ไม่ต้องมาระแวงว่าจะได้ของดี หรือ ไม่ดี มีมาตรฐานแน่นอน ตรงนี้เองเป็น “จุดสำคัญ” ที่ผู้เขียนต้องการสื่อถึง .. เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า ไม่ว่าใครจะช่วยเหลืออย่างไร ธุรกิจของคุณก็ไม่มีวันเจริญ รวมถึงตัวคุณเองด้วยเช่นกัน ทั้งๆที่มีคนพร้อมจะช่วยเหลืออยู่เต็มไปหมด ดังนั้น ทำสินค้าและบริการให้ดี จะสามารถอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ หรือ แม้กระทั่ง วันเดียวกัน มีคนมาขอเงินไปซื้อข้าวกิน แต่พอกลับมาอีกทีพร้อมเหล้าขาวบรรจุขวดเครื่องดื่มชูกำลัง เงินไม่เท่าไหร่ เราพร้อมช่วยเหลือ แต่พอเห็นแบบนี้ เราจะไม่สงสารและไม่ช่วยเหลืออีก หรือ แม้กระทั่ง เราจะได้ยินข่าวความหัวหมอ หักค่าหัวคิวต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมาซื้อของสถานที่นั้นๆ รับเงินสดคืนกลับไปเลยทันที
  • คะแนนสะสม (Rewards) จากทั้งฝั่งรัฐบาลและ การส่งเสริมการขาย (Promotions) จาก ผู้ประกอบการ ในระยะ (Phase) ต่อๆไป ที่ทำให้คนไปใช้บริการร้านค้าเล็กๆที่อยู่ห่างไกล เหมือนเกมส์ที่จูงใจให้ “ผู้ใช้จ่าย” (Purchasers) ออกไปใช้จ่ายยังสถานที่นั้นๆ เพื่อแลกคะแนนสะสมมากขึ้น มากกว่า การให้ Cashback เพราะ บางครั้ง บางคนไม่สามารถใช้จ่ายในระดับ 30,000 บาทได้ในครั้งเดียว ต้องค่อยๆทะยอยแบ่งจ่าย รวมถึงเป็นอีกโจทย์ ผู้ขายหรือร้านค้า มีบริการหรือโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างอื่นรองรับ เพื่อดึงคนให้อยู่ในร้านของคุณต่อ หรือ ใช้จ่ายในกระเป๋าส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะรัฐทำหน้าที่ส่งเสริมให้คนไปหาคุณถึงที่ คุณเองก็มีหน้าที่คิดต่อ ว่าจะทำอย่างไรดี จะเพิ่มยอดขายอย่างไร
  • ให้ร้านค้าที่ร่วมรายการต่างๆ เก็บข้อมูลลูกค้าไว้ด้วย  “ในยุคปัจจุบันคนที่มีอำนาจมากที่สุด คือ คนที่มีฐานข้อมูลในมือมากที่สุด” เท่าที่ได้ดูผ่านๆ ร้านค้าที่ร่วมรายการ จะมีร้านขายไข่ ขายผัก ร้านคาเฟ่ต่างๆ คำว่า ข้อมูลหากเทียบกับสมัยก่อน ก็คือ “สมุดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ลูกค้า”นั่นแหละ แค่เปลี่ยนรูปแบบเป็น e-mail หรือ Line จดไว้ก็ได้ หรือผู้ที่มีความรู้พื้นฐานขึ้นมาหน่อยก็เป็น Google Drive เช่น ลูกค้าคนนี้มีครอบครัวอยู่พื้นที่ ก็อาจจะเป็นโอกาส เพิ่มยอดขาย เช่น มีไลน์ มีอีเมลลูกค้าเอาไว้  หากลูกค้าอยากซื้อไข่ ซื้อผัก อยากทานกาแฟ ก็ให้ไลน์มาหา แล้วคุณก็ทำการไปส่ง ก็วางแผนการไปส่งสินค้าให้กับลูกค้าให้คุ้มค่า หรือ จัดเตรียมสินค้าไว้ให้ก่อนเขามาเอา เพื่อความสะดวกรวดเร็ว เพราะสินค้าบางอย่างก็สามารถเลือกซื้อในร้านค้าใกล้บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปไกลเลย และเชื่อไหม หากลองสำรวจดูดีๆ รายได้ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าประจำนี่แหละ การรักษาลูกค้าประจำไว้ให้ได้ก็เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจที่ดี .. แนวคิดมันไม่ได้มีอะไรยากซับซ้อน เพียงแต่เมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้น มีข้อมูลมากขึ้น ก็ต้องให้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจำแนกข้อมูลต่างๆเท่านั้น (อ่านเพิ่มเติม: Customer Experience กับ แบรนด์ที่เข้าใจลูกค้า จนประสบความสำเร็จ)

อ่านเพิ่มเติม:
พระราชกำหนด กู้เงิน หลักล้านล้านบาท รัฐบาล กู้เงินจากสถาบันการเงินใดได้บ้าง


โดยสรุป : การกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้ระยะสั้นเท่านั้น และการจะรอความช่วยเหลืออย่างเดียว คงไม่สามารถช่วยเหลือได้ทั้งหมด ธุรกิจจึงควรจะหาวิธีพัฒนาสินค้าและบริการของตนเองด้วย รวมถึง การวางแผนรองรับ สำหรับการสร้างยอดขายเพิ่มจากการที่รัฐช่วยให้คนมาที่ร้านเพิ่มขึ้น เพราะ ไม่มีทฤษฏีไหน นโยบายไหน ใช้กับพื้นที่หรือประเทศไหนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือ ช่วยคนได้ทั้งหมด ต้องมีการผสมผสานเพื่อให้สามารถใช้แก้ปัญหาได้มากที่สุด

ผู้เขียนมองว่า .. มันไม่ใช่ความเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์หรอก เพราะยักษ์ใหญ่ที่เติบโตมาจากออนไลน์เต็มตัว เขาเองก็ต้องมองหาทางสร้างความแข็งแกร่งในด้านออฟไลน์ต่อด้วย เพราะ บางอย่างเดินไปซื้อใกล้บ้านก็ได้ หรือ บางสถานที่ก็ยังให้ความสุขได้อยู่ และคนเราไม่สามารถอยู่บนโลกออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน มันอยู่ที่คุณภาพของสินค้าและบริการมากกว่า ว่าคุณเหนือกว่าอย่างไร

 

หมายเหตุ : บทความนี้ เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวมุมมองหนึ่งในการวิเคราะห์เท่านั้น หากต้องการนำไปอ้างอิงประกอบการศึกษา สามารถทำได้ โดยผู้อ่านสามารถค้นหาบทความอื่นๆจากหลายๆแหล่งที่มาเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน รวมถึงการศึกษาไม่มากก็น้อย 

อ้างอิง:
Cashback หรือ เครดิตเงินคืน คืออะไร? ยิ่งช้อป! ยิ่งได้เงินคืน! เขาทำได้อย่างไร?
เว็บไซต์โครงการ “ชิม ช้อป ใช้”

ผู้สนับสนุนบทความนี้

Sponsorships, Jampay, Jampay Thailand, แจมเพย์, แจ่มใส, jamsai, jamplay