Lazada vs Shopee มหกรรมลดราคาสินค้าสุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ตัวอย่าง Lazada กับ Shopee 11.11 และ 12.12 ของ ลาซาด้า และ ช้อปปี้ บอกอะไรเราบ้าง? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

สารบัญ

1.“Lazada” vs “Shopee” ศึก 11.11 และ 12.12 บอกอะไรเราบ้าง? มีข้อดีข้อเสีย (Pros and Cons) อย่างไร?
2.Lazada (ลาซาด้า) คือ ใคร 
3.Shopee (ช้อปปี้) คือ ใคร
4.Lazada 11.11 คือ อะไร Shopee 12.12 คือ อะไร
5.ศึกระหว่าง Lazada (ลาซาด้า) vs Shopee (ช้อปปี้) ที่ดุเดือด
6.ข้อดี มหกรรมโปรโมชัน 11.11 และ 12.12
7.ข้อจำกัด มหกรรมโปรโมชั่น 11.11 และ 12.12
8.มุมมองโดยสรุป


“Lazada” vs “Shopee” ศึก 11.11 และ 12.12 บอกอะไรเราบ้าง? มีข้อดีข้อเสีย (Pros and Cons) อย่างไร?


ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะ “Lazada 11.11” และ “Lazada 12.12” รือ “Shopee 11.11” และ  “Shopee 12.12” หรือ มหกรรม 8.8 และ 9.9 และ 10.10 ต่างก็ได้รับความคนใจจากผู้คนไม่แพ้กัน และ น้อยคนที่จะไม่รู้จักว่าชุดตัวเลขสองตัวนี้บ่งบอกถึงอะไร

ซึ่งแน่นนอนว่า มหกรรมทั้งสองอย่างนี้ คือ โปรโมชั่นร้อนแรงที่สุดส่งท้ายปี ของ “แพลตฟอร์มยักใหญ่” (Huge Platforms) ด้าน “อีคอมเมิร์ซ” (e-Commerce) 2 เจ้า ที่เป็นที่รู้จักอย่าง “ลาซาด้า” และ “ช้อปปี้”

รวมถึง ในปัจจุบัน กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ นอกจากถูกจัดขึ้นโดย Lazada กับ Shopee แล้ว กิจกรรมยังได้รับความนิยมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายส่งท้ายปี จากแบรนด์ หรือ ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถรับรู้ได้โดยทั่วไป

โดยหลาย ๆ คน คงจะเริ่มมีความรู้สึกอยากทราบว่า จริงๆแล้ว “กิจกรรมส่งเสริมการขาย” หรือ “โปรโมชั่น” (Promotion) ที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีที่เป็นที่รู้จักนี้ บอกอะไรกับเราบ้าง รวมถึงมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร? แจมเพย์จะลองมาวิเคราะห์ให้ได้อ่านกัน ไปเริ่มกันเลยย ..



Lazada (ลาซาด้า) คือ ใคร 

lazada, shopee, nocnoc, high shopping, true shopping, tv direct,

“ลาซาด้า” คือ “ห้างสรรพสินค้าออนไลน์” ที่อธิบายตำแหน่งของตนเองไว้ว่า “ห้างสรรพสินค้าออนไลน์ชั้นนำ” ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 ลาซาด้า ถือเป็น ผู้นำด้านแพลตฟอร์มสำหรับการ ช้อปปิ้ง และ การขายสินค้าออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยดำเนินธุรกิจใน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม ในฐานะผู้ริเริ่มการพัฒนา “ระบบนิเวศ” (Ecosystem) ของ “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” (e-Commerce) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) มีผู้ใช้งาน “มาร์เก็ตเพลช” (Marketplace) ที่ชื่อ “ลาซาด้า” มากกว่า 560 ล้านคน ทั่วทั้งภูมิภาคนี้

Alibaba Group” ซึ่งเป็น อาณาจักร e-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ ก่อตั้งโดย “แจ็ค หม่า” (Jack Ma) ที่มีบริษัทในเครือที่เป็นที่รู้จักมากมาย ตัวอย่าง “Xiami Music” เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น ฟังเพลงแบบสตรีมมิ่ง (Music Streaming)

“Ant Financial” ผู้ให้บริการเทคโนโลยีทางการเงินระหว่างบุคคล (FinTech) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “AliPay” (อาลีเพย์)  “Alibaba Cloud” ผู้ให้บริการระบบพื้นที่คลาวด์ Alimama.com ผู้ให้บริการเครือข่ายโฆษณา ลักษณะเดียวกับ Google Ads 

รวมถึง เครือข่ายแพลตฟอร์มสำหรับการช้อปปิ้ง (Shopping)  บริการด้านโลจิสติกส์ (Logistics) การพาณิชย์แบบ “การค้าส่ง” (Wholesales) หรือ “ค้าปลีก” (Retails) ที่โด่งดังอย่าง Alibaba.com, AliExpress.com, Taobao.com, Tmall.com

และ เครือลาซาด้า (Lazada Group) อย่าง Lazada.sg และ Lazada.co.th เป็นต้น ซึ่ง “อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด” (NYSE: BABA) เป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่” (Major Shareholders) ของ “ลาซาด้ากรุ๊ป” (Lazada Group)

Shopee (ช้อปปี้) คือ ใคร


“ช้อปปี้” คือ “แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์” ที่อธิบายตำแหน่งของตนเองไว้ว่า “แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์และตลาดอีคอมเมิร์ซชั้นนำ” ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012

SEA Group” มีธุรกิจในเครือ คือ 1.”Garena” (การีนา) บริษัทผู้ให้บริการด้านความบันเทิงทางดิจิตอล (Digital Entertainment)  2. “Shopee” (ช้อปปี้) บริษัทผู้ให้บริการด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce)  3. “AirPay” (แอร์เพย์) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการเงินดิจิตอล (Digital Financial Services)

ภายหลัง SEA Group ได้ปรับโครงสร้าง และ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) เป็น “SEA Group”

โดยที่ Tencent เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์หลังจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้น และ การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก ในครั้งนี้ มีส่วนแบ่ง 39.7%  ทำให้ Tencent เป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่” (Major Shareholders) ของ “ซี กรุ๊ป” (SEA Group)

Tencent” (เทนเซ็นต์) ก่อตั้งโดย “หม่า ฮั่วเถิง” หรือ “โพนี หม่า” (Pony Ma) เริ่มต้นด้วยการเป็น บริษัทบริการวางระบบเครือข่ายภายในบริษัท ก่อนที่จะเปิดตัว ผลิตภัณฑ์ด้านบริการในการรับส่งข้อความ (Instant Messenging หรือ IM) อย่างที่เรารู้จักกันดีอย่าง “คิวคิว” qq.com แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของประเทศจีนอย่าง weibo.com

สำหรับประเทศไทย .. “เทนเซ็นต์” เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทยโดยใช้ชื่อ “บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด”

โดยมีสินค้าและบริการที่เรารู้จักในชีวิตประจำวันอย่างเช่น  Joox.com และ Sanook.com ที่ทรงพลังอย่างมาก เพราะ คุณสามารถอ่านเนื้อหาสาระ ท่องเว็บไซต์ สนุกดอทคอม พร้อมกับฟังเพลงจาก “Sanook Music” หรือ Joox ได้พร้อมๆกัน

รวมถึง WeChat (วีแชท) แพลตฟอร์ม Instant Messenging และ e-Payment และ WeTV (วีทีวี) แพลตฟอร์ม สตรีมมิ่งทีวี (Streaming TV) รวมถึงยังมี  Tencent Games เช่น PUBG Moblie, Garena ROV , Lineage II Revolution เป็นต้น, Tencent Cloud,  Digital Agency และกลุ่มบริษัทอื่นๆอีกมากมายอย่างครบวงจร

สรุปเนื้อหา7บรรทัด: สองยักษ์ใหญ่ ใครเป็นใคร ในตลาด


Lazada 11.11 คือ อะไร

โปรโมชั่น หรือ เทศกาล “Lazada 11.11” หรือเป็นที่รู้จัก โปรโมชั่นยิ่งใหญ่ หรือ มหรกรรมลดราคาสินค้าส่งท้ายปีของ “ลาซาด้า” ถือกำเนิดขึ้นโดย “Alibaba” ที่หยิบยก วันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปี ซึ่งเป็นวัน “Single Day” ให้กลายเป็นที่รู้จัก คือ “Shopping Day”

สำหรับประเทศไทย .. “มหกรรมลดราคาสินค้า 11.11” แบบนี้ ถูกสร้างให้เป็นที่รู้จัก โดย “Lazada” (ลาซาด้า)

ถือว่าเป็น ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์รายแรกๆ ที่สร้างวัฒนธรรม และ “พฤติกรรม” (Behaviors) การช้อปปิ้งในวันนี้ และ แบบนี้ให้เป็นที่นิยม ในประเทศไทย

Shopee 12.12 คือ อะไร

ในปี 2560 “ช้อปปี้” ได้เปิดตัวแคมเปญ “Shopee 9.9” ซึ่งถือว่าเป็น มหกรรมลดราคาสินค้าครั้งยิ่งใหญ่ เป้าหมายคือประเทศไทย ที่ประชากรมีกำลังซื้อสูง เพื่อสร้างความนิยมในพื้นที่ประเทศไทย

สำหรับปี 2562 “ช้อปปี้” ได้เปิดตัวแคมเปญ “Shopee 12.12 Birth Day Sale” โดยประชาสัมพันธ์ว่า เป็นโครงการ “เพื่อสังคม” ส่งท้ายปีสุดยิ่งใหญ่

โดยหลัก คือ วันที่แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือ มหกรรมลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ส่งท้ายปลายปีนั่นเอง ย้อนกลับไปช่วงแรกอาจจะมีเพียง 11.11 เท่านั้น

ปัจจุบัน เริ่มมีมหกรรม ตั้งแต่ 8.8 9.9 10.10 11.11 และ 12.12 เรียกว่า จัดหนักจัดเต็มกันตั้งแต่เริ่มต้นครึ่งปีหลังกันเลยทีเดียว

** ซึ่งในส่วนนี้ผู้อ่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ว่า ต้นกำเนิดของการกำหนดวันแห่งการช้อปปิ้งนี้

มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ใครเป็นผู้ริเริ่ม ใครมียอดขายมากกว่ากันในมหกรรมต่างๆ ส่วนในบทความนี้จะพูดถึง ข้อดี ข้อเสีย และมุมมองเกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนมากกว่า ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งเหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของเราไปแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้**


ศึกระหว่าง Lazada (ลาซาด้า) vs Shopee (ช้อปปี้) ที่ดุเดือด


ทำไมต้องอธิบายกันยืดยาว นั้นก็เพราะ เรากลังจะสื่อสารว่า ดูเหมือนว่าสองยักษ์ใหญ่นี้ อย่าง “ลาซาด้า” กับ “ช้อปปี้” นอกจากจะกำลังแข่งขันภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน (Industries) แล้ว ยังเป็นการแข่งขันกันระหว่าง Tencent (เทนเซนต์) และ Alibaba (อาลีบาบา) ด้วยเช่นเดียวกัน

ซึ่งหลาย ๆ คนกำลัง บอกว่า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้งสองเจ้านี้ “เขาเผาเงิน เขาเอาเงินจากไหนมาเผาเล่นกันแบบนี้?”  จึงต้องอธิบายว่า บริษัทลักษณะนี้ เขามี “บริษัทแม่” (Holding Company) ที่มีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ หรือ บริษัทในเครือ

หรือแม้ว่า ไม่มีบริษัทแม่ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้อง “ค่าใช้จ่ายในการขาย” (Sales Expenses) และ “ยอดขาย” (Total Revenue) กล่าวคือ เป็นเรื่องปกติที่ “ค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาดที่เพิ่มขึ้น” (Increasing Sales and Marketing Expenses)

หรือ มีการใช้จ่ายเม็ดเงินที่ส่งเสริมการขายและการตลาดเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้เกิดโอกาสที่จะสร้าง “ยอดขายเพิ่มขึ้น” (Increasing Total Revenue)

จึงจะถือว่าใช้จ่ายที่ก่อให้เกิดรายได้ และลงทุนอย่างคุ้มค่า แต่ก็ต้องหันกลับมาดูตัวเลข “ต้นทุนเกี่ยวกับการสร้างรายได้” (Cost of Revenue) ที่ใช้ในการผลิตหรือการขายสินค้าและบริการ มีมากน้อยเพียงใด ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้เป็นตัวกำหนดว่า บริษัทมีกำไรหรือไม่ มากน้อยเท่าไหร่

ยกตัวอย่าง Sea Group บริษัทแม่ของ Shopee ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น Tencent ที่มีธุรกิจมากมายในเครือ และ ยังถือหุ้นในบริษัทหรือธุรกิจต่าง ๆ มากมาย

ซึ่งจาก รายงานประจำปี (Annual Report)  ในปี 2015 บริษัท Sea Group มีรายได้มากกว่า 80% มาจากกลุ่มธุรกิจ Digital Entertainment ไม่ใช่กลุ่ม e-Commerce และ แม้กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะยังสร้างรายได้ (Revenue) ไม่ได้เป็นสัดส่วนที่สูงนักในตอนั้น แต่ ธุรกิจยักษ์ระดับนี้ทำอะไรเขาต้องมีเป้าหมายแน่นอน

ในปี 2018 กลุ่มธุรกิจ e-commerce สร้างรายได้ขึ้นมาเป็นสัดส่วน ประมาณ 32.7% จากยอดขายทั้งหมด

ในขณะที่ธุรกิจ Digital Entertianment อยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ มีการรับรู้ยอดขายสินค้า (Goods Sales) ที่ระดับ 11.4% จากยอดขายทั้งหมด


เราเริ่มเห็นอะไรจากเรื่อง “Lazada” vs “Shopee” นี้บ้าง? ..

ในปี 2015 ที่การรับรู้ยอดขายธุรกิจคอมเมิร์ซเป็นเพียง 10% จากทั้งหมด เมื่อ พูดอย่างเข้าใจง่ายๆ คือ ..

เขาลงทุนนำเงินมา “เปลี่ยนพฤติกรรม” ด้วย “Freemium Model” เช่น ส่วนลด “เครดิตเงินคืน” หรือ “Cashback”, Coin หรือ คะแนนสะสม, จัดส่งฟรี ราคา 1 บาท, ราคา 0 บาท หรือ การผ่อนชำระสินค้า เป็นต้น

เพื่อสร้างโอกาสให้คุณแพลตฟอร์มของเขาในชีวิตประจำวัน และ “ซื้อข้อมูล” ด้วยการศึกษา “ฐานข้อมูลขนาดใหญ่” (Big Data) ว่า “คนซื้ออะไรบ่อยๆ สนใจสินค้าประเภทไหน หรือ มากที่สุด ราคาไหนที่มีผลต่อการตัดสินใจ”

จากนั้นก็ทำ “สินค้าแบรนด์ตนเอง” (House/Private Label Products) มาวางขายในแพลตฟอร์มของตนเอง ย่อมขายได้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า ผู้ขายรายอื่นๆ หรือ ผู้ขายทั่วไป

และการที่แต่ละแพลตฟอร์มมีการปรับกฏเกณฑ์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา นอกจากเพื่อรักษาระดับมาตรฐานต่างๆแล้ว ในอีกนัยหนึ่งเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง (Monopoly Power) และ เป็น การขยายธุรกิจ (Business Expansion) ไปยังกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆอีกด้วยนั่นเอง

จึงได้อธิบายไว้ใน บทความ “ขายของออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ .. ทำไมยากขึ้นเรื่อยๆ?” และ “Business Trends 2019 กับ 4 แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นภายในปีนี้”  ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่

และมีหลักฐานอ้างอิงเป็นตัวเลขทางการเงินและผลประกอบการใน “รายงานทางการเงิน” (Fiscal Report) และ “รายงานประจำปี” (Annual Report) ของบริษัทเหล่านี้

หรือ Alibaba ยักษ์ใหญ่ที่เติบโตจากด้านการเทรดระหว่างธุรกิจ  “Business to Business Tradings” (B2B) เช่น “ผู้จัดหาสินค้า” (Suppliers) กับ “ผู้ผลิตสินค้า” (Manufacturers) และ “ผู้นำเข้า” (Importers)  กับ “ผู้ส่งออก” (Exporters)  เป็นต้น  ที่เริ่มขยับขยายเรื่อง Global Logistics มากยิ่งขึ้น

โดยแต่งตั้ง ซีอีโอ (CEO) คนปัจจุบัน ที่มีประวัติการทำงานการเติบโตจากบริษัทในเครือ บริหารสายงานด้านโลจิสติกส์ ขึ้นมานั่งคุมบังเหียน มีเรือบรรทุกสินค้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่

เพื่อต้องการเติบโตด้านโลจิสติกส์ในระดับโลก รวมถึง เพื่อวางรากฐานในการขยายฐานธุรกิจไปสู่ “ธุรกิจค้าปลีกระหว่างประเทศ” (Global Retails Business) มากขึ้น อย่าง AliExpress และ Lazada e-Logistics (LEL Express) เป็นต้น ปัจจุบันทาง Shopee กำลังขยายฐานด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์เช่นกัน ด้วย  “Shopee Express

ซึ่งเหมือนกันกับ “Amazon” (แอมะซอน) ยักษ์ใหญ่ที่เติบโตจากด้านธุรกิจค้าปลีก (Retails) ที่มีเครื่องบินขนส่งเชิงพาณิชย์เป็นของตนเอง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ

รวมถึงสร้างกำแพงทางธุรกิจ (Barrier to Entry) สำหรับผู้เล่นรายใหม่ๆที่คิดจะแข่งขันกับ “แอมะซอน” ในเรื่องของ “ความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางต่างประเทศ” กล่าวคือ เอาเครื่องบินมาเล่นกันในอุตสาหกรรมนี้กันแล้ว

ในกรณีนี้ Tencent ที่เติบโตมาจากธุรกิจระบบโครงข่ายดิจิตอล สำหรับลูกค้าระดับองค์กร และธุรกิจเครือข่ายดิจิตอลสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป และ Alibaba ที่เติบโตมาจากธุรกิจที่ให้บริการในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างธุรกิจ หรือ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการนำเข้า-ส่งออก

ซึ่ง “Shopee” และ “Lazada” เป็นตัวแทน ที่ยักษ์ใหญ่ลงมาในสนาม “ด้านธุรกิจค้าปลีกออนไลน์” (Retails Business) และ ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ระหว่างประเทศ (Global Retails Business)

ที่ทั้งสองยักษ์ใหญ่นี้กำลังห้ำหั่นกัน เร่งสร้างความแข็งแกร่ง ความได้เปรียบ ความเป็นผู้นำตลาด อำนาจต่อรอง และเสริมทัพในส่วนที่ตนเองยังไม่แข็งแกร่ง

โดยเริ่มจาก ระดับประเทศ จนตอนนี้กลายเป็นระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเติบโตในกลุ่มธุรกิจใหม่ของตนเอง และเป็นการส่งเสริมภาพรวมของธุรกิจในเครือของตนเองด้วยนั่นเอง

ซึ่งเราจะได้เห็นวิธีคิด วิธีการดำเนินธุรกิจ ทิศทาง รวมถึงลักษณะและเป้าหมายในอนาคตของธุรกิจระดับโลก กัน ผ่านกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ


ข้อดี (Pros) ของ โปรโมชั่น (Promotion) 11.11 และ 12.12 จาก Lazada (ลาซาด้า) และ Shopee (ช้อปปี้)

  • มุมผู้บริโภค ได้รับประโยชน์จากสินค้าราคาถูกและสิทธิประโยชน์มากมาย ประโยชน์ของการแข่งขันกันระหว่างแพลตฟอร์ม หรือ แม้กระทั่งระหว่างผู้ขายสินค้าด้วยกันเองข้อหนึ่ง คือ “ด้านราคาและสิทธิประโยชน์” (Prices and Benefits) เพราะ ต่างฝ่ายต่างก็แข่งขันหยิบยื่น “แรงจูงใจ” (Incentives) ให้กับ ผู้ใช้งาน (Users) เช่น โปรโมชั่น 1 บาท, โปรโมชั่น 0 บาท หรือ มีสิทธิลุ้นรับสิ่งของต่างๆฟรี หรือ ผ่อนชำระได้ เป็นต้น
  • ผู้ประกอบการในตลาด สามารถขายสินค้าด้วยราคาส่งเสริมการขาย และ ราคาลดล้างสต็อก รวมถึง สามารถทำยอดขายก่อนช่วงสิ้นปี สมมติ เราทำธุรกิจผ่านช่วงครึ่งปีแรก (H1) มาแล้ว เราต้องเริ่มประเมินสถานการณ์แล้วว่า ยอดขายปีนี้จะเป็นอย่างไร ดีหรือและแย่ สินค้าตัวไหนได้รับผลตอบรับอย่างไร ยอดขายสินค้าตัวไหนแย่ สินค้าตัวไหนคาดการณ์ว่าจะต้อง  แล้วครึ่งปีหลัง (H2) จะกระตุ้นยอดขายอย่างไร จะส่งเสริมการขายสินค้าตัวไหน จะจัดกิจกรรมและรณรงค์ (Campaign) เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างไร และจะทำอย่างไรให้ยอดขายเป็นไปตามเป้า หรือ ดีกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ (Outstanding, Outperforming Revenue) หรือ “การลดล้างสต๊อก” ตัวอย่างเช่น สินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาจำกัด หรือ สินค้าที่ตกรุ่นต่างๆ เป็นต้น ก็จะทำการรีบขายให้หมดก่อน หรือ ขายให้ได้มากที่สุดก่อนสิ้นปี เพราะคาดการณ์หรือทราบอยู่แล้วว่า ปีถัดไปจะมีสินค้ารุ่นใหม่ออกวางจำหน่าย และยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายด้วย นอกเหนือจากการสร้างยอดขายในช่วงปลายปี
  • มุมแพลตฟอร์ม เป็นการดึงลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่เข้ามาใช้งาน รวมถึง ผู้ขาย (Sellers) หรือ ผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน การจัดกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากจะเป็นการดึงลูกค้าประจำ และเปลี่ยนพฤติกรรมให้เฝ้ารอช่วงระยะเวลาจัดกิจกรรมแล้ว ยังสร้างฐานลูกค้าใหม่ ๆ ในประเทศใหม่ ๆ ที่บริษัทเข้าไปทำการขยายตลาดอีกด้วย ทำให้ลูกค้าตัดสินใจใช้งานแพลตฟอร์มได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงดึงดูดผู้ขายรายใหม่ ๆ ให้เข้าร่วมเป็นผู้ขายในแพลตฟอร์มของตน จากกระแสความนิยมในมหกรรมลดราคาสินค้าดังกล่าว รวมถึงเพื่อสร้างโอกาสในขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง (Private Label Products) จากปริมาณของฐานผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากอีกด้วย ตัวอย่างเช่น จากรายงานประจำปีของ “Sea Group” ระบุว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์ของตนเองในแพลตฟอร์ม “ช้อปปี้” ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกันกับแพลตฟอร์มโดยตรง คิดเป็น 11.4% จากยอดขายทั้งหมด จากปี 2017 ที่คิดเป็นเพียง 0.4% เท่านั้น ตัวเลขการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ก้าวกระโดด

ข้อเสีย (Cons) หรือ ข้อจำกัด ของ โปรโมชั่น (Promotion) 11.11 และ 12.12 จาก Lazada (ลาซาด้า) และ Shopee (ช้อปปี้)

  • ผลต่อ ผู้บริโภค ที่อาจพบกับสินค้าที่ด้อยคุณภาพ หรือ ราคาที่ลดแบบไม่ใช่ความจริง เพราะ มีโอกาสที่ต้องเผชิญกับกลุ่มผู้ไม่หวังดี และคนเรามีหลายประเภท ใช้โอกาสตรงนี้ ระบายสินค้าคุณภาพต่ำ ตกเกรด ไม่ได้มาตรฐาน หรือ เสื่อมสภาพออกสู่ตลาดในราคาที่ถูก ทำให้ต้องไปทำการซื้อสินค้าเหล่านั้นใหม่อีกครั้งอยู่ดี หรือ บางครั้งเป็นการตั้งราคาที่สูงเกินจริง หลังจากนั้น ค่อยทำการลดราคาลงมาให้ดูเหมือนมี “ช่วงราคา” (Price Range) ที่กว้าง นอกจากนั้น นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์จากแพลตฟอร์มที่จูงใจแล้ว  นอกจากจะถูกเปลี่ยนพฤติกรรมให้เฝ้ารอการช่วงระยะเวลาในการช้อปปิ้งแล้ว บางคนช้อปปิ้งด้วย “บัตรเครดิต” ซึ่งอาจมีเรื่องสิทธิประโยชน์ “เครดิตเงินคืน” (Cashback) จาก “บัตรเครดิต” เข้ามาเกี่ยวข้องอีก ถ้าหากผู้คนใช้จ่ายจนเพลิดเพลินเกินตัวมากจนเกินจำเป็น อาจจะส่งผลกับสุขภาพทางการเงินของตนเองได้ และจะส่งผลเชิงลบต่อ “กำลังซื้อ” (Perchasing Power) กล่าวคือ ยอมเป็นหนี้เพื่อบางอย่าง และ ลดการจับจ่ายใช้สอยสิ่งของบางอย่างลง หรืออาจจะไม่ได้เป็นหนี้ แต่อาจจะตั้งใจเก็บเงินเพื่อจับจ่ายแค่ในช่วงระยะเวลานี้เพียงอย่างเดียว  อาจส่งกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้เช่นกัน (อ่านเพิ่มเติม วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย .. จะไปต่ออย่างไร?)
  • ผลต่อ ผู้ประกอบการในแพลตฟอร์ม  ผู้ประกอบการอาจจะตื่นตาตื่นใจกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาอันสั้น เรียกว่า ขายกันมันส์จัด (เพื่ออรรถรส) จัดส่วนลด จัดโปรโมชั่นกันกระหน่ำ เอา “ยอดขาย” เป็นที่ตั้ง ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนแฝง หรือ ต้นทุนการดำเนินการอื่นๆ สมมติให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ เดิมขายราคาสินค้า 100 บาท ต้นทุนการขาย 70 บาท อยากได้กำไร 30 บาท เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ยอดขายที่ราคา 80 บาท หากคิดคำนวณออกมาดีๆ ค่าใช้จ่ายในการขาย อาจเป็น 40 บาท ซึ่งอาจจะมากกว่าระดับราคาที่จะได้กำไร เพราะ ไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนการขายต่างๆ ค่าใช้จ่ายในการขาย หรือ บางธุรกิจไม่ได้ผลิตสินค้าเอง เป็นการจ้างผลิต ก็อาจจะไม่ได้คำนวณต้นทุนการดำเนินการบางอย่าง ดังนั้น ต่อให้ขายมากเท่าไหร่ นอกจากจะไม่มีกำไรแล้ว ยังขาดสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงขาดทุนสะสมไปเรื่อยๆ  เป็นจุดตกม้าตายของธุรกิจส่วนมาก เพราะการทำธุรกิจที่ดี และยั่งยืนต้องมี “กำไร” หล่อเลี้ยง และพังทลายธุรกิจ คือ “ต้นทุนการดำเนินการต่างๆ” (Overhead Costs) รวมถึงต้อง “ประเมินความเสี่ยง” (Risk Management) กรณีที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มลงมาขายสินค้าแบรนด์ของตนเองด้วยตนเองด้วยเช่นกัน
  • ผลต่อธุรกิจ หรือ แพลตฟอร์ม การขาดทุน (Loss) ต่อเนื่อง อาจทำให้ส่งผลเสียต่อ สภาพทางการเงินของบริษัท (Monetary) กล่าวคือ การลงทุนในกิจกรรมส่งเสริมการขายนี้ ทำให้ทั้งคู่ มีโอกาสสูง ที่จะสูญเสียฐานลูกค้า (Fail To Maintain) ของตนเองระหว่างกัน รวมถึง สูญเสียความสามารถในการสร้างรายได้และทำกำไร (Fail to Monetize and Taking Proft) ในอนาคต และ การขาดทุนต่อเนื่องยาวนาน เป็นสิ่งที่ยากในการทำกำไรให้กลับมาเขียวชอุ่มสดใสอีกครั้ง โอกาสที่ล้มเหลวจากการขายสินค้าของตนเองก็มีสูงมากๆเช่นกัน เพราะ เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทำให้โอกาสในการเพิ่มสัดส่วนผลประกอบการ (Turnover) จากส่วนนี้เองก็มีความเสี่ยงสูง รวมถึง ในตอนท้ายสุด ต้องมีผู้แพ้ 1 รายในการแข่งขันนี้ และผู้แพ้จะต้องเดินก้มหน้าออกจากตลาดไป (Suffer Loses) ส่วนผู้ชนะเองก็ต้องรีบสร้างช่องทางรายได้เพิ่มเติม และทำกำไรให้บริษัทกลับมามีความแข็งแกร่งอีกครั้ง กล่าวคือ ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการในแพลตฟอร์มที่อาจจะพบเจอกับความเสี่ยง ตัวแพลตฟอร์มเองก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้มีบริษัทแม่ให้การสนับสนุนอยู่อาจจะรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่า
  • ผลต่อ ผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในแพลตฟอร์ม และ ในด้านภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศ เม็ดเงินไหลเข้าสู่แพลตฟอร์มและผู้ขายในแพลตฟอร์มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าการดำเนินกิจกรรมแบบนี้ ส่งผลโดยตรงทำให้ ผู้คนเฝ้ารอระยะเวลาการจัดกิจกรรมเหล่านี้ มากกว่า การจับจ่ายใช้สอยทั่วไป เพราะด้วย “ราคาที่จูงใจ” (Incentive Pricing) และ “สินค้ามีจำนวนจำกัด’ (Limited Volume) เช่น โค้ดส่วนลดที่มีเวลาจำกัด เป็นต้น  ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนอาจจะไม่จับจ่ายใจ้สอยเลยในช่วงเวลาอื่น หรือ เก็บออมเงินไว้ เพื่อรอจับจ่ายในโปรโมชั่น 11.11 เพียงอย่างเดียว บางความคิดเห็นได้บอกเล่าไว้ใน เว็บไซต์พันทิปดอทคอม (Pantip.com) ว่า ภายใน 11.11 วันเดียว ตนเองซื้อของไปหลายหมื่นบาท เป็นผลโดยตรงต่อ ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพราะ ผู้คนไม่จับจ่ายในช่วงเวลาอื่นๆจาก “พฤติกรรม” (Behaviors) ที่ถูกเปลี่ยนไปเหล่านี้ หรือ ไม่มีเงินสำหรับซื้อสินค้าจากผู้ขายรายอื่นๆแล้วนั่นเอง ซึ่งแน่นอนอาจส่งผลในภาพรวมของเทศกาลปีใหม่ 31.12 ของทุกปี ตามร้านค้าทั่วไป หรือ ทั่วประเทศเอง อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน  ยังไม่ได้รวมปัจจัยการซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่ทำได้สะดวกและง่ายกว่าเดิมมาก

โดยสรุป ในมุมมองของเรา เรื่อง Lazada vs Shopee รวมถึง มหกรรม 11.11 และ  12.12

  • “มหกรรมลดราคาสินค้าสุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี”แบบนี้กำลังเปลี่ยน “พฤติกรรม” ในการช้อปปิ้ง หรือ จับจ่ายใช้สอยของเรา ส่วนตัวมองว่า เราอยากอธิบาย ผู้ที่ชอบบอกให้บอกให้ผู้อื่น “ปรับตัว เพราะ ขายของออนไลน์กันหมดแล้ว” และบอกว่า “ฉันก็ขายได้ขายดีบนแพลตฟอร์ม” มันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ อย่าทระนงตนจนเกินไป อย่าประมาท อย่าพึ่งพาแพลตฟอร์มใดมากเกินไป และให้เหตุผลและชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ ผู้ที่เติบโตในออนไลน์ เขายังพัฒนาช่องทางออฟไลน์ของเขาด้วยเลย เช่น ระบบโลจิสติกส์ หรือ รวมถึง แพลตฟอร์ม ยังหันมาขายสินค้าแบรนด์ตัวเอง วันใดที่แพลตฟอร์มเขาเดินหน้าเต็มรูปแบบ วันนั้นธุรกิจของคุณ สินค้าของคุณ อาจจะไม่มีที่อยู่ที่ยืนก็ได้เช่นกัน หรือ “แพลตฟอร์มมีวันเสื่อมสลายไป” (Platform Deterioration) ดังที่อธิบายเรื่องการห้ำหั่นกันจนมีผู้แพ้ หรือ การเสื่อมสลายของคุณภาพของสินค้าและบริการ หรือ แม้แต่ได้รับความนิยมที่ลดลง แล้ววันนั้น ธุรกิจของคุณอาจจะได้รับผลกระทบ เราจึงบอกเสมอถึงการบริหารความเสี่ยงช่องทางการจำหน่ายไว้บ้าง อย่าพึ่งพาช่องทางใดมากเกินไป
  • สินค้าบางอย่าง ยังสามารถไปซื้อด้วยตนเองได้ ลูกชิ้นปิ้ง หมูปิ้ง ข้าวราดแกง เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องมาขายบนออนไลน์ หรือ สถานที่บางสถานที่ หรือ บางกิจกรรม ยังเป็น “การสร้างปฏิสัมพันธ์” (Communities) ที่ไม่สามารถทำบนออนไลน์ได้ เช่น การไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ การออกไปรับประทานอาหารกับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นต้น หรือหากเรามองโลกตามความเป็นจริง ผู้ประกอบการต่างๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้ทำอะไรผิด และพัฒนากิจการอย่างเต็มที่ที่สุดตามความสามารถแล้ว เพียงแค่คุณไม่ได้ไป หรือใช้บริการเขาลดลง โดย อาจจะเกิดจากเหตุการณ์ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ อยากบอกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า ขอแค่ทำ “สินค้าและบริการ” (Goods and Services) ที่ “ผู้คนยังต้องกินต้องใช้” ให้มี “คุณภาพ” จะสามารถอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์
  • ปัจจุบันการสั่งซื้อสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ระหว่างประเทศ จากแพลตฟอร์มต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้มีผู้คนจำนวนหนึ่ง นำเข้าสินค้าราคาถูกเหล่านี้มาขาย ราคาถูก รวมถึง ทำกำไร (Taking Profit) ซึ่งส่งผลด้านลบกับ ผู้ผลิต และอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยตรง และส่งผลต่อผู้ผลิตและผู้ขายในประเทศ ที่ไม่สามารถสู้ต้นทุนได้  พอมีผู้นำเข้าแบบนี้มามากขึ้น สินค้าก็ล้นตลาด ขายไม่ออก เพราะ สินค้ามีเหมือนๆกันไปหมด แถมไม่มีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น มีแค่ราคาต้นทุนที่ถูกกว่าเท่านั้น
  • หากถามว่า “ช่วงเวลา” (Phase or Timing) กิจกรรมไหนเหมาะสมที่สุด? .. มองว่า ช่วงระยะเวลา 11.11 เหมาะสมในการรณรงค์กิจกรรมส่งเสริมการขายที่สุด เพราะเป็นช่วงก่อนสิ้นปี ที่ และ หากไม่เป็นไปตามที่หวังยังมี ช่วง 12.12 ที่สามารถกระตุ้นหรือจัดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงจะรู้สึกว่า แรงจูงใจมหกรรม 11.11 นั้นมีมากกว่านั่นเอง หรือ ในอีกนัยหนึ่ง เงินในกระเป๋าของผู้คนถูกดึงไปจนหมดแล้วตั้งแต่ 11.11 อาจส่งผลทำให้ 12.12  หรือ อาจจะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายจากคู่แข่ง (Rivals) อื่นๆดักหน้า ดึงเม็ดเงินออกไปตั้งแต่ 8.8 หรือ 9.9 แล้วนั่นเอง
  • อยากให้ผู้อ่านเห็นว่า ..  “ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่” และ “ธุรกิจที่แข็งแกร่ง” ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจด้วย และอยากให้ผู้อ่านดูว่า การดำเนินธุรกิจของผู้ที่เขาเป็นธุรกิจระดับนี้เขาเล่นกันแบบ “ใจถึง” มากๆ เราบอกไว้แล้วว่า ธุรกิจออนไลน์จะขยายไปสู่สิ่งที่ตนเองยังไม่มี ในบทความก่อนๆ เพื่อเสริมทัพธุรกิจของตนเอง เช่น มีธุรกิจเว็บไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์อยู่แล้ว จากนั้นขยายธุรกิจไปสู่ ธุรกิจระบบชำระเงิน ธุรกิจขนส่งสินค้า ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจระบบจัดการฐานข้อมูล เพื่อเสริมทัพธุรกิจของตนให้เข้มแข็งอย่างรอบด้านนั่นเอง
  • “กำลังซื้อ” ของ “ประเทศเวียดนาม” กำลังจะแซงหน้าประเทศไทยแล้ว จากตัวเลขยอดขายของ SEA Group พบว่า ในปี 2017 ยอดขายรวมจากประเทศไทยอยู่ที่ ร้อยละ 32.3 ประเทศเวียดนาม ร้อยละ 23.7 แต่ในปี 2018 สัดส่วนปรับเปลี่ยนเป็น ร้อยละ 23.5 และ ร้อยละ 23.4 ตามลำดับ

หมายเหตุ : บทความนี้ เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวมุมมองหนึ่งในการวิเคราะห์เท่านั้น หากต้องการนำไปอ้างอิงประกอบการศึกษา สามารถทำได้ โดยผู้อ่านสามารถค้นหาบทความอื่นๆจากหลายๆแหล่งที่มาเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน รวมถึงการศึกษาไม่มากก็น้อย 

อ้างอิง:
https://www.lazada.co.th/
https://www.shopee.co.th/
https://www.tencent.co.th/
https://www.alibabagroup.com/
https://www.seagroup.com/