Solo Travel in Tokyo เที่ยวโตเกียวคนเดียว DAY3 | Jampay Pain-Point
Solo Travel in Tokyo เที่ยวโตเกียวคนเดียว – DAY3
ชวนคิด ชวนคุย ก่อนออกไปเดินเล่น
Song: ♫ Drown – Bring Me The Horizon
สวัสดีเช้าที่ 3 ของการ “เที่ยวคนเดียว” (Solo Travel) .. วันนี้เราก็ตื่นเช้าเหมือนทุกวัน และก็มานั่งที่ล็อบบี้ (Lobby) ของโรงแรม แล้วเราก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า .. เอ๊ะ! “สื่อสังคมออนไลน์” (Social Media) ใน ประเทศญี่ปุ่น (Japan) เนี่ย มันจะมีอะไร ที่แปลกไปจากที่ ประเทศไทย (Thailand) มากน้อยแค่ไหน
แน่นอนว่า แม้เราจะเป็น บัญชี (Account) ที่ใช้บริการในประเทศไทย แต่เมื่อเปลี่ยน “ตำแหน่งที่ตั้ง” (Location) แล้ว .. บางบริการก็อาจจะใช้ได้เหมือนกันนี่หน่า ไปเริ่มกันเลยดีกว่า
เอ๊ะ! “สื่อสังคมออนไลน์” (Social Media) ใน ประเทศญี่ปุ่น (Japan) เนี่ย มันจะมีอะไร ที่แปลกไปจากที่ ประเทศไทย (Thailand) มากน้อยแค่ไหน
อันนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า ..อันนี้เราตั้งใจจะนำเสนอหน้าตาของ YouTube Premium ให้เพื่อนๆผู้อ่านชาวไทยได้เห็นจริงๆ ว่าหน้าตามันจะเป็นรูปแบบไหน เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นมีบริการนี้แหละ ณ ตอนนั้น แต่เมื่อเรากลับประเทศไทยมา “ยูทูป” (YouTube) ก็ประกาศเปิดตัว YouTube Premium ใน ประเทศไทย
โดยจะมีทั้ง YouTube Premium ที่นำเสนอเนื้อหาต่างๆของตนเอง หรือ Original Content หรือ YouTube Original โดยหน้าตา (Interface) มีลักษณะเหมือนกับ ผู้ให้บริการ Streaming TV Content อื่นๆ รวมถึง YouTube Music (ยูทูปมิวสิค) แอพพลิเคชั่น ฟังเพลง รูปแบบสตรีมมิ่ง (Music Streaming) ที่สามารถฟังเพลงแบบพื้นหลัง (Background Tasking) หรือ ขณะล็อคหน้าจอ (Locked-Screen MultiTasking)
สำหรับประเทศไทย ตอนนี้เริ่มลงมาทำ Streaming TV Content กันอย่างจริงจังมากขึ้น เช่น “AIS” ปล่อย “AIS PLAY” (เอไอเอส เพลย์) True ก็ปล่อย “TrueID” (ทรู ไอดี) ส่วนค่าย Mono ที่เราเห็นโฆษณาบ่อยๆ คือ MonoMax (โมโนแม็กซ์)
นอกจากการแข่งขันจากผู้ให้บริการ Streaming ในต่างประเทศ อาทิ NetFlix, Facebook Watch, YouTube Original, Amazon Prime, Disney, HBO MAX, Apple TV+,HULU, VIU, WeTV, Line TV รวมถึง Music Streaming เช่น Apple Music จาก Apple ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA), Joox จาก Tencent ประเทศ จีน (China) และ Spotify (สปอทิฟาย) จาก Spotify AB ประเทศ สวีเดน (Sweden) YouTube Music จาก YouTube ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) จะดุเดือดแล้ว การแข่งขันจากผู้ให้บริการภายในประเทศเองก็จะดุเดือดไม่แพ้กัน ซึ่งตัวเรา ที่เป็น “ผู้บริโภค” (Consumers) “ผู้ใช้งาน” (Users) จะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันกันผลิตเนื้อหาที่ดี แต่แอบระวังค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนิดนึงนะ เพราะ เราอาจจะเป็นสมาชิกกับทุกแพลตฟอร์ม ค่าบริการต่ออายุสมาชิกรายเดือน (Subscribtion Expenses) ของเราอาจจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
เราเคยอธิบายไปในบทความก่อนๆแล้วว่า ระบบ Freemium Model มักจะให้ “ทดลองใช้” 1 เดือนเสมอ หลังจากนั้นก็จะเป็นการเรียกเก็บค่าบริการ “การต่ออายุสมาชิกแบบรายเดือน” (Subscribtion Renewal)
และยังได้อธิบายเพิ่มเติมต่ออีกว่า บริการใดก็แล้วแต่ที่ผู้ให้บริการให้เราลองใช้ฟรีเป็นเวลานาน จนสามาถสร้าง “พฤติกรรม” (Behavior) ให้เรา “เคยชิน” ถึงขั้น “ขาดมันไม่ได้” จนผู้ให้บริการ (Providers) สามารถนำมาสร้างเป็น “ช่องทางรายได้” (Revenue Channel) เพิ่มเติมได้ และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของ ผู้ให้บริการ และ ผู้สร้างสรรค์ผลงาน (Creators) ภายในชุมชนนั้นๆด้วย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ .. การเปิดเพลงแบบพื้นหลัง การเปิดเพลงขณะล็อคหน้าจอสมาร์ทโฟน เป็นต้น ซึ่งในไม่กี่ปีที่แล้ว เราสามารถทำแบบนั้นได้กับ ยูทูป (YouTube) แต่ด้วยการกระทำดังกล่าว ทำให้ทั้งผู้ให้บริการ และ ผู้สร้างสรรค์ผลงาน (Creators) ภายในชุมชนเสียผลประโยชน์ในหลายๆด้าน เช่น การนับยอดวิว (Views) การแสดงผลโฆษณา (Ads) ภายหลังทำให้เราไม่สามารถทำแบบนั้นแบบฟรีๆ ได้อีกต่อไป
อ่านเพิ่มเติม: Freemium คืออะไร? ดีอย่างไร? วันนี้เรามาทำความรู้จักกัน
Facebook (เฟชบุ๊ค) ในญี่ปุ่น หน้าแรกจะมี “แท็บงาน” (Jobs Tab) แทรกระหว่าง “นิวส์ฟีด” (Newsfeed) เลย ในขณะที่ประเทศไทย ยังคงต้องเข้าไปในหน้า “เมนูต่างๆ” (Menu) อยู่
ที่น่าสนใจก็ คือ “ค่าแรงขั้นต่ำ” (Minimum Wage) โดยเฉลี่ยญี่ปุ่น ต่างหาก
ที่เรากำลังจะเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง (References) ในการพูดถึง “ราคาสินค้าและบริการ” ในบทความต่อๆไปได้ โดย “ค่าแรงต่อชั่วโมง” (Hourly Wage) จากข้อมูลที่เราเห็นอยู่ประมาณ 1,200-1,500 เยน (JPY) ต่อชั่วโมง หรือ คิดเป็นเงินบาทไทย ประมาณ 300 บาท (THB) ต่อชั่วโมง หรือ เดือนละประมาณ 240,000 เยน (JPY) ต่อเดือน คิดเป็นเงินบาทไทย ประมาณ 72,000 บาท (THB) ต่อเดือน แต่การจะพูดการ คุณภาพชีวิต หรือ ค่าครองชีพอะไรก็ตามแต่ เราต้องดูค่าใช้จ่ายต่างๆประกอบด้วย
*ตรงนี้เราจะทดไว้ในในเสมอ เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบราคาคร่าวๆ ว่า 1,000 เยน (JPY) เท่ากับ 300 บาท (THB)*
การ “หางาน” (Find a Job) เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในต่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทยเอง .. โดยก่อนหน้านี้เราอาจจะเคยได้ยิน LinkedIn ที่ใช้ในการหางานต่างๆ หรือแม้กระทั่ง เว็บไซต์ประภท “หางาน บริษัท” อาทิ Jooble.org เป็นต้น หรือ “หางาน ราชการ” เฉพาะทางต่างๆโดยตรง
ปัจจุบัน Facebook เองก็เปิดให้บริการพื้นที่ในการ “รับสมัครงาน” และ “หางาน” ภายในแพลตฟอร์มของตนเองเลย โดยสามารถกำหนดตำแหน่งาน คำอธิบายตำแหน่งงาน ตำแหน่งที่ตั้ง ฐานเงินเดือน และอื่นๆ
Twitter (ทวิตเตอร์) ในประเทศญี่ปุ่น ดูเหมือนว่าจะมี “แท็บ” (Tab) เรื่องราวที่มากกว่าในประเทศไทยนะ หน้าแรกขึ้นเป็น “วิดีโอคอนเทนต์” (Video Content) ดูสิ ขนาดเรื่องราวน่าสนใจที่ขึ้นหน้าแรกยังเป็น Starbucks (สตาร์บัคส์) เลย
YouTube และ Instagram หน้าตาของแท็บต่างๆ ก็เหมือนกับในประเทศไทย ไม่ได้มีอะไรแตกต่างมาก
เอาหล่ะ! เตรียมตัวออกไปเดินเที่ยวกันดีกว่า ..
Remind: ทำความเข้าใจร่วมกัน
- สิ่งที่จะได้มากกว่า (Values) คือ สิ่งที่ได้จากการสังเกต มุมมองในการดำเนินธุรกิจ การตลาด และ การลงทุน มุมมองของผู้บริโภค รวมถึงมุมมองที่เข้าใจ “มือใหม่” เพราะ บางครั้งคนเราเขินอายที่จะถามคนอื่นว่าตัวเองไม่รู้ แต่สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เราว่ามีคุณค่ากับผู้อ่าน .. นอกเหนือภาพสวยๆ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะเราถ่ายรูปไม่เก่ง และภาพถ่ายจะไม่มีการแต่ง เกิดจากการปรับแสงหลังกล้องเฉยๆ ไม่มีการปรับความตรงใดๆ อาจจะดูเบี้ยวๆนิดนึง เพราะถ่ายมาเยอะมากครับ และจัดการภาพเยอะๆไม่เป็นด้วย และการไปครั้งนี้เราแทบไม่มีข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวอะไรมากมาย
- จะมีการแสดงโฆษณาคั่นระหว่างบทความ (In-Article Ads) โดยทางเราจะระมัดระวังไม่ให้ขัดกับประสบการณ์ในการอ่านของผู้อ่านทุกท่าน เพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ต่อไป และหากมีผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุนบทความ ผู้อ่านทุกท่านจะได้รับประสบการณ์การอ่านแบบไม่มีโฆษณา
- เพื่อเพิ่มอรรถรส (Utilities) เราจะมีชื่อเพลงที่เราเปิดในตอนนั้นระบุไว้ให้ ผู้อ่านสามารถเปิดเพลงนั้นๆเป็นพื้นหลังระหว่างการอ่านได้เช่นกัน เหมือน คุณผู้อ่านเข้ามาชมห้องแสดงงานศิลปะของเรา จะได้เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกขณะบันทึกภาพเหล่านั้น
- เป็นใช้การพิมพ์เนื้อหาแบบบอกเล่ายาวๆ (Long Take) บางครั้งด้วยการพิมพ์จำนวนมากๆ คำผิดต่างๆ ที่อาจจะ “เล็ดลอด” สายตาเราไปได้ แต่เรากลับมาอ่านอีกครั้งเสมอ และพยายามแก้ไขคำไทยให้ถูกเสมอ หรือหากพบเห็น ก็สามารถแจ้งทางเราได้ และเมื่อแก้ไขแล้ว จะมีเครื่อง “…” ไว้ให้ เพื่อเป็นคำที่ถูกต้อง รวมถึงมี (…) ภาษาอังกฤษไว้ให้ สำหรับคำที่เรามองว่าเป็นประโยชน์
- ขายของออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ .. ทำไมยากขึ้นเรื่อยๆ?
- เพลง และ มิวสิควิดีโอ น่าสนใจอย่างไรในการโฆษณาสินค้า?
- Freemium คืออะไร? ดีอย่างไร? วันนี้เรามาทำความรู้จักกัน
Solo Travel in Tokyo เที่ยวโตเกียวคนเดียว – DAY3
วันที่ 3
เตรียมพร้อมเดินเล่น
PAIN POINT #7 : มาคนเดียว เตรียมของจัดกระเป๋าไปเดินเล่น ถ่ายรูป อย่างไรดี?
เอาหล่ะ .. หลังจากนั่งดูแพลตฟอร์มต่างๆไปได้สักพัก เราก็จัดเตรียมของประมาณนี้ เราเป็นชอบสีดำล้วน (All Black) นะบอกไว้ก่อน
- กระเป๋าสะพายหลัง/ถือ ดีๆ ทนๆ รับนำหนักได้ดี 1 ใบ
- กระเป๋าเงิน พร้อมเงินสด (Cash) และ บัตรเดบิต (Debit Card)
- สมาร์ทโฟน (Smartphone) พร้อม หูฟัง (EarPods)
- บัตรเติมเงิน ซุยกะ (Suica IC Card)
- แบตเตอรี่สำรองแบบพกพา (Powerbank Charger) พร้อมสายชาร์จ
- อินเตอร์เน็ตไร้สายแบบพกพา (Pocket Wifi) พร้อมสายชาร์จ
- กล้องดิจิตอล FUJI-XA2 + เลนส์แบบกว้าง (Wide) พร้อมแท่นชาร์จ และ ตัวแปลงที่ซื้อมา (จะเห็นว่าเป็นหัวแบนแล้ว)
- หนังสือเดินทาง (Passport) (ต้องเอาติดตัวไปด้วยตลอด)
- อาหารว่าง (Snacks) เราเลือกกล้วยตาก (Solar Dried or Sun-Dried Banana) แถวบ้านมาพกติดตัวนั่นแหละง่ายดี เพราะต้องใช้พลังงานในการเดินเท้ามาก อารมณ์แบบนักวิ่ง นักปั่นจักรยานทางไกล ซึ่งเราเผื่อเหตุการณ์ที่บางครั้งเราอาจต้องเดินไกล กว่าจะถึงร้านอาหารที่อยากกิน
- น้ำดื่ม (Drink Water)
เราต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ในการออกไปเดินเที่ยว (Solo Travel) และสำรวจพื้นที่ต่างๆทั้งวัน และกลับที่พักทีเดียวตอนค่ำเลย ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบวันแรกอีก จึงเตรียมทุกอย่างติดตัวไปให้หมด สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ Pocket Wifi ที่ต้องมีใช้และเข้าถึงตลอดเวลา รวมถึง แบตเตอรี่กล้องของเรา และใช้ Starbucks ใกล้เคียงบนเส้นทางที่ไป เป็นที่พักทานกาแฟตอนเช้าและบ่าย รวมถึงใช้เป็นที่ชาร์จไฟอุปกรณ์ต่างๆ และยังได้นั่งสังเกตผู้คนอีกด้วย
เอาหล่ะ เมื่อทำการตรวจสอบรายการสิ่งของ (Checklist) เรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมที่จะออกไปผจญภัย! วันนี้จะเดินขึ้นด้านบนของแผนที่ไปเรื่อยๆ ..
Akihabara, Tokyo, Japan
Song: ♫ Where Did It Go – Asking Alexandria
หลังจากที่เราเดินมาจาก Kyobashi ตรงขึ้นมาผ่าน Kanda Station ข้ามสะพาน มาจนถึงร้าน BigApple Akihabara ตอนแรกเราไม่รู้ว่าคือ อะไร เห็นแต่รูปแอปเปิ้ล (Apple) และเห็นผู้คนยืนต่อแถวกันอยู่ยาวไปจนสุดขอบทางเท้าเพื่อต่อแถวเข้ารับบัตรกระดาษจากเครื่อง ซึ่งเร็วมาก แต่ละคนเดินมาหยิบบัตรกระดาษบางอย่างจากทั้งสองเครื่อง กว่าเราจะหยิบกล้องถ่ายรูปจากกระเป๋าออกมาถ่าย คนก็รับบัตรกันจนหมดแล้ว เร็วมากของจริงเจ้าหน้าที่ก็กำลังจะเก็บอุปกรณ์
เราก็เลยดูในแผนที่ แสดงให้ว่า เป็น “ร้านปาจิงโกะ” (Slot and Pachinko) เราอาจจะคุ้นหูคุ้นตากับคำว่า “เฮฮาปาจิงโกะ” เราก็เลย อ๋อ เป็นร้านตู้เกมส์เชี่ยงโชค หรือ ตู้สล็อต นี่เอง ซึ่งการรับบัตรที่เครื่อง อาจจะเป็นการรับบัตรคิว เพื่อได้สิทธิเข้าไปใช้บริการหรือเปล่า อันนี้เราไม่ได้สอบถามข้อมูลผู้คนแถวนั้นเลย แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ “วิถีชีวิต” (Lifestyles) ของชาวญี่ปุ่นเท่าไหร่ เพราะ มีคนมาต่อแถวรอเข้าไปเล่นเยอะมาก แม้จะเป็นวันธรรมดาในเวลา ประมาณ 10.00 น. (10 a.m.) ในอีกมุมหนึ่ง คือ กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะเป็น นักเล่นมืออาชีพ และยึดเป็นอาชีพเลยก็ว่าได้
เดินมาอีกสักหน่อย ก็มาถึงโซน GUNDAM และร้านขาย เกมส์ (Game) ต่างๆ มีเสียงเพลงมีเสียงโฆษณาตลอดสองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยร้านค้าต่างๆ
“ตู้โทรศัพท์สาธารณะ” (Public Pay Phone Box) มาดัดแปลงเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นจุดบริการ Free Wi-Fi จุดบริการสายด่วนฉุกเฉิน (Hot Line) สิ่งที่ดีสำหรับ Solo Traveler
แนวคิดที่นำ “ตู้โทรศัพท์สาธารณะ” มาดัดแปลงเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นจุดบริการ Free Wi-Fi และ จุดบริการสายด่วนฉุกเฉิน (Hot Line) ไปยังสถานที่ หรือ หน่วยงานสำคัญๆต่างๆ เป็นแนวคิดที่เราต้องบันทึกไว้ เพื่อนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านได้เห็น
โดยภายในตู้จะมีหน้าจอแสดง เบอร์สายด่วนต่างๆ เป็นสีเขียว สีแดง สีฟ้า สีม่วง ให้สามารถกดโทรออกไปยังหน่วยงานต่างๆ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะ ตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบนี้มีอยู่ทั่วเมือง คุณสามารถเข้าถึงบริการได้แทบทุกที่ในเมือง มีเหตุด่วน เหตุร้าย เหตุฉุกเฉินใดๆ สามารถผู้คนสามารถเข้าตู้ฯที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อแจ้งเหตุได้เลย แถมยังเป็นการระบุกรอบพิกัดตำแหน่งเกิดเหตุได้เที่ยงตรง และใกล้เคียงสถานที่จริงได้มากที่สุด ง่ายต่อการที่เจ้าหน้าที่จะส่งความช่วยเหลือและฝ่ายสนับสนุนต่างๆมายังสถานที่นั้นๆได้อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งเป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะปัจจุบันผู้คน รวมถึงในประเทศไทยเอง อาจจะไม่ได้ใช้บริการตู้โทรศัพท์สาธาณะแล้วเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ และประหยัดงบประมาณในการลงทุนไปได้มากทีเดียว
ภาพของผู้คนยินต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ เพื่อเข้าไปใช้บริการ ร้านปาจิงโกะ (Pachinko) โดยเวลาเปิดทำการอยู่ประมาณ 10.00-10.30 น.
ภาพของ แพลตฟอร์มบริการชำระเงิน (Payment Service Platform) ชื่อ PayPay
ผู้คนมากมายที่มาต่อแถว รอเข้าใช้บริการร้านเกมส์ตู้ต่างๆ ในย่านนี้ยืนกันแน่น แทบทุกร้านในละแวกนี้ แสดงให้เห็น ความเติบโตของอุตสาหกรรมตู้เกมส์เสี่ยงโชคและปาจิงโกะ (Slot and Pachinko Industries) ในย่าน อะกิฮาบะระ (Akihabara) นี้ได้ชัดเจนมากๆ
ภาพของการแจ้งเตือนจาก “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย” (Security Guard) ให้ผู้ที่เดินเท้า “สัญจร” ไปมาทราบว่า การก่อสร้างตึก อาคาร สำนักงานด้านหน้า และให้เดินเบี่ยงออกไปทางถนนตามทางชั่วคราวที่ได้วางอุปกรณ์ไว้ให้ ซึ่งออกไปยังพื้นที่ถนน 1 ช่องจราจร
พร้อมกับแสดงให้เห็นผู้ขับขี่จักรยาน หยุดรอ “สัญญาณไฟเขียว-ไฟแดง” (Traffic Light Signal) ที่ให้คนเดินเท้าสามารถเดินข้ามทางม้าลาย (Zebra Crossing) ได้
เราเดินมาจนถึง “ตลาดอะเมโยโกะ” (Ameyoko Plaza) ใกล้กับบริเวณ “สถานีรถไฟอูเอโนะ” (Ueno Station) ซึ่งเป็นย่านกึ่งตลาดสด ขายของสด ของแห้งต่างๆ มีร้านอาหาร “เรียงราย” ตลอดสองข้างทาง
ร้านอาหารทุกร้าน มีตัวอย่างอาหารให้เราดูอย่างเด่นชัด ทำให้เราอยากทานหลายๆอย่างมากๆ แถมราคาก็ “ย่อมเยาว์” ไม่แพงมากนัก
ร้านข้าวหน้าเนื้อก็น่าทานมากๆ สายเนื้ออย่างเราอยากลองมากๆ ชื่อร้านแผนที่ “Legend Beef Rice House Sutadonya” ราคาที่แสดงให้เห็นไว้หน้าร้าน ก็ไม่แพงมาก ดูเหมือนจะมีช่วงเวลาโปรโมชั่นด้วย แต่ดูเหมือนร้านแต่ละร้านจะยังไม่เปิดทำการ อาจจะเพราะเรามาถึงเช้าเกินไป
เดินต่อมาอีกหน่อยก็มาเจอร้านขายข้าวหน้าปลาดิบ อันนี้ก็อยากทานมากๆ ราคาประมาณ 1700 เยน (JPY) คิดเร็วๆคร่าวๆก็ประมาณ 500 บาท (THB) แต่ร้านแทบจะทุกร้านย่านนี้จะเปิดบริการประมาณ 11.00-11.30 น. (11.30 a.m.) เราก็เลยตัดสินใจเดินเล่นดูย่านนี้เพื่อค่าเวลา และเป็นการสำรวจพื้นที่ไปด้วย ..
เดินมาเจอร้านขายรองเท้าผ้าใบ ชื่อร้าน Face to Face เราชอบการตกแต่งภายในร้านมากๆเลย การใช้ชั้นวางไม้แบบนี้ ช่วยขับความสวยงามของรองเท้าออกมาได้ดี ทำให้ร้านดูเป็นมิตรมากกว่า ประกอบกับเพื่อนทักมาว่า “ให้ช่วยดูราคารองเท้ารุ่นหนึ่งให้หน่อย”
ภาพของรองเท้าภายในร้าน Face To Face “สีเหลืองมัสตาร์ด” (Yellow Mustard) ราคาประมาณ 6,800 เยน (JPY) ประมาณ 2,500 บาท
คิดว่า สีสันของรองเท้า น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน การจัดแสดงรองเท้าบนชั้นวาง (On-Shelf) ของทางร้านค่อนข้างดี
เท่าที่สังเกต .. วัฒนธรรมการแต่งกายของคนญี่ปุ่น จะออกไปทางสี “เอิร์ธโทน” (Earth-Tone) จะเป็นสีสันประมาณนี้ รวมถึงการจัดวาง ตกแต่งภายในร้าน จะออกสีเรียบๆ เข้ากับธรรมชาติ ดูเป็น “มินิมอล” (Minimal) หน่อยๆ
เมื่อเห็นธงชาติไทย ก็เลยลองเดินมาดู เป็น “ร้านขายอาหารไทย” (Thai Restaurant) โดย “อาหารไทย” (Thai Foods) ที่ญี่ปุ่น ราคาประมาณ 1,200 เยน (JPY) ที่บอกว่าให้ผู้อ่านจำไว้ในใจ ตอนนี้ไปเริ่มใช้แล้ว คิดคร่าวๆอย่างไวๆประมาณ 300 บาทไทย (THB)
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น ที่เราอยากเล่าจริงๆ คือ อาหารไทยสามารถจัดเป็น “ชุดเซ็ตอาหาร” (Set Meal) แบบนี้ได้เช่นกัน ดูสิ “พะแพงหมู เซ็ต” (Pa-neng Curry Set) คือ เราเอง อยากให้มีร้านอาหารไทย ที่ลองทำการจัดชุดเซ็ตอาหารแบบนี้ดูบ้าง เพราะมันก็ดูน่าทานเหมือนกันนะ เพราะ เป็นการนำเสนออาหารให้ดูน่ารับประทานเหมือนกัน และทำให้รับประทานอาหารได้อร่อยขึ้นจริงๆ เราไปกิน “ดงบุริ” (Donburi Rice Bowl) ก็รู้สึกอร่อยขึ้น ถ้าพูดกับตามตรงก็คือ “ข้าวราดกับข้าว” นั่นแหละ
อัพเดต! ตอนนี้ที่จังหวัดพิษณุโลก (Phitsanulok, Thailand) ตอนนี้มีแล้ว ร้านหนึ่ง ชื่อ “ครัวคอยณคุณ” (KruaKoyKhun Cafe & Restaurant) เอาข้าวหน้าหมูกรอบคั่วพริกเกลือ หรือ เมนูอื่นๆ มาจัดวางเป็นข้าวแบบ “ดงบุริ” (Donburi Rice Bowl) ให้อารมณ์ญี่ปุ่นมาก รสชาติก็อร่อยด้วย
ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ทำ “ตัวอย่างสินค้า” (Mock-Up) พร้อมทั้งติดป้ายราคาไว้ให้ลูกค้าได้ตัดสินใจก่อนเดินเข้าร้าน พี่ผู้ชายคนนี้เป็นคนไทย เพราะเราได้ยินเขาพูดกับครอบครัว แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเราเองก็เป็นคนไทยเช่นกัน ฮ่าๆ
ร้านขาย “สลากทายผลรางวัล” (Lottery) ต่างๆ
ร้านไหนที่ตกแต่งสวยๆเราก็จะถ่ายมาฝาก เช่นร้านนี้เป็นต้น การตกแต่งสีดำตัดกับสีของไม้ และสีขาวที่เป็นชื่อร้าน ทำให้ร้านดูโดดเด่นอย่างมาก ตอนกลับมาดูรูปภาพที่ประเทศไทย กลับเห็นน้องผู้หญิงคนหนึ่งยิ้มอยู่ในภาพด้วย
ภาพนี้แสดงให้เห็นการใช้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดของเมือง ในการทำ “ที่จอดรถ” (Car Parking) ซึ่งเท่าที่ดู “ราคาต่อวัน” อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว และจากการที่เดินสำรวจมา ทุกที่ที่เป็นที่จอดรถ แม้ตามข้างถนนก็ตาม ก็จะมีเครื่องสำหรับการเก็บค่าบริการทั้งหมด
PAIN POINT #8 : ไข่หอยเม่น (Uni) หรือ ไข่ปลา (Fish Eggs) ดูอย่างไร?
และแล้วก็ถึงเวลาที่ร้านเปิดจนได้ .. เราเป็นลูกค้าคนแรก เพราะเดินมาเป็นชั่วโมงแล้ว เริ่มหิว เลยไม่รอช้า เดินตรงเข้าไปเพื่อจะสั่งข้าวมาทาน ชื่อร้าน “Wakasaya Ueno Ten”
หากท่านที่อยากลองรับประทาน Uni (อูนิ) หรือ “ไข่หอยเม่น” (うに) ที่เรารู้จัก .. เราไปทานเป็นครั้งแรก และไม่คุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่น ให้จำแค่ 2 ตัวอักษร คือ “うに” อ่านว่า อู-นิ เป็นตัวอักษร “ฮิรางานะ” (Hiragana)
เพราะบางร้านมีรูปภาพให้ยังพอแยกออกได้ แต่หากเป็นเมนูที่เป็นภาษาญี่ปุ่น หรือ ร้านที่ให้กดสั่งซื้อจากตู้เอาเอง อาจจะมีปัญหา และได้ “ไข่ปลา” (Fish Eggs) ยาวๆมาแทน
อย่างเช่นตัวอย่างในภาพ เมนูที่ 1, 2, 4 และ 6 จะมี “ไข่หอยเม่น” นั่นเอง
“ไข่หอยเม่น” หรือ “Uni” รสชาติยังไง? ..
จัดไปหนึ่งจาน .. จำเลขเมนูไม่ได้แล้ว แต่รู้สึกว่าจะไปจิ้มเลือกเมนูที่เขามีให้ในร้านอีกทีหนึ่ง ราคาอยู่ที่ 1,727 เยน (JPY) คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 493 บาท (THB)
“ไข่หอยเม่น” หรือ “Uni” รสชาติยังไง? .. สำหรับผู้ที่ลองทานครั้งแรก เรายึดตามความรู้สึกและรสสัมผัสของเรานะ มันจะหอม มันแบบนมสด มีกลิ่นของข้าวคั่วนิดๆ ตามด้วยกลิ่นปลาร้าบางๆ เค็มๆหอมๆ นุ่มละมุน เหยาะซอสญี่ปุ่นบางๆลงไป และทานคู่กับข้าวญี่ปุ่นอย่างลงตัว
เมื่อทานข้าวเสร็จ ก็เดินเล่นมาจนถึง สวนอูเอโนะ (Ueno Park) สวนสาธารณะ”เชียวชอุ่ม”ใหญ่กลางเมือง ใกล้กับสถานีรถไฟ “Keisei-Uneno Station” สำหรับใช้ไป “สนามบินนาริตะ” (Narita International Airport, NRT)
พบคู่รักมาเดินด้วยกันมากมาย มันไม่ใช่ที่ของเราอีกแล้วสินะ ..
เมื่อเดินเล่นในสวนไปสักระยะ เดินชมส่วนต่างๆภายในสวนฯจนเต็มอิ่ม ก็ตัดสินใจเดินมายังสถานีรถไฟอูเอโนะ (Ueno Station)
โดยสารด้วยรถไฟใต้ดินสาย Ginza Line (G, สีส้ม) ไปลงสถานี อาซากูซะ (Asakusa Station)
Asakaza, Tokyo, Japan
มาถึงก็เดินหาร้านกาแฟก่อนเลย ไม่พลาดที่จะสั่งกาแฟเย็นมาทาน แต่ก็ต้องพบกับควาามว่างเปล่า เมื่อไม่มีปลั๊กไฟให้ชาร์จ ทำให้ไม่สามารถชาร์จแบตกล้องที่ใก้ลจะหมดได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะ เราถือโอกาสนั่งพักสักครู่ก่อนที่จะเดินต่อ
สาขานี้ ชั้น 1 จะเป็น เคาน์เตอร์ และเมื่อสั่งแล้ว สามารถขึ้นไปนั่งทานได้ที่ชั้น 2 ด้วยพื้นที่ที่ค่อนจ้างจำกัด จึงทำให้ที่นั่งมีจำนวนจำกัดด้วยเช่นกัน อาจจะเหมาะสำหรับ กลุ่มลูกค้าแบบ TO GO มากกกว่า
Song: ♫ Red Planet – BOL4
ร้านข้าวหน้าปลาไหลข้างๆ Starbucks Asakusa ที่คนต่อแถวยาวอยู่พอสมควร มีคุณป้าคอยบริการลูกค้าอยู่หน้าร้าน กลิ่นหอมของปลาไหลย่างลอยมาแตะจมูกของเรา แต่เราพึ่งทานข้าวหน้าปลาดิบมาจากร้านที่อูเอโนะ เรายังรู้สึกอิ่มมากๆอยู่เลย ทั้งๆที่ดูเหมือนจะทานไม่อิ่มนะ
อาคารที่จอดรถ Ekimise Parking ให้บริการพนื้ที่จอดรถ โดยผู้ใช้บริการต้องนำรถเข้าไปจอดด้านในบนแท่นที่กำหนดไว้ (ดังภาพ) และระบบจะนำรถเข้าไปไว้ในที่จอดที่ว่างอยู่ด้านใน รวมถึงชั้นบน และฐานวงกลมด้านหน้าสุดที่เราเห็น คือ แท่นสำหรับบริการช่วยกลับรถให้กับผู้มาใช้บริการ เพราะ ตอนเข้าใช้บริการ ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะนำด้านหน้าของรถเข้า เพราะสะดวกกว่า และเมื่อนำรถออกจากลานจอด ก็จะถอยหลังลงมาสู่งฐานวงกลมที่เตรียมไว้ และฐานนี้ก็จะหมุนรถให้อยู่ในด้านที่พร้อมออกสู่ถนน
สิ่งเหล่านี้ รวมถึงแนวคิดต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่า พื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นมีจำกัด ทุกการออกแบบ รวมถึงแนวคิดอยู่บนพื้นฐานการใช้พื้นที่อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องมีทางให้ขึ้นไปให้เสียพื้นที่สร้างรายได้ไป ออกแบบให้ทำเป็นเหมือนการที่ รถโฟล์คลิฟท์ (FolkLift) ยกรถขึ้นไปวางตาม ชั้นวางสินค้า (Lack) คลังจัดเก็บสินค้า (Stores) ต่างๆ เหมือนกับ การวางสินค้าบนชั้นวาง (On-Shelf) ทำให้มีพื้นที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ภาพของ รถสามล้อเข็น สไตล์ญี่ปุ่น ก่อนถึง “Nakamise Shopping Street” (Orange Street) ชายผู้เข็นรถในภาพ กล่าวคำว่า “Thank You” คงจะหมายถึง “ขอบคุณที่ถ่ายรูป” เพราะจะได้เป็นการเผยแพร่การท่องเที่ยว
มาถึง “Nakamise Shopping Street” (Orange Street) แล้ว มีร้านค้าต่างๆมากมาย การตกแต่งเป็บรูปแบบดั้งเดิม
ร้านไอศกรีม และร้านขนมต่างๆ ที่คนต่อแถวยาวเหยียด ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบว่า เป็นร้านที่เป็นที่รู้จัก ส่วนเราไม่ใช่สายของหวานเท่าไหร่ เราก็เลยเดินต่อไปเรื่อยๆ
เป็นอีกหนึ่งร้านที่มีผู้คนมาต่อแถวเข้าร้าน รวมถึงมาซื้อแบบกลับบ้านอยู่พอสมควร ในภาพมีกลุ่มผู้หญิงใส่ชุดกิโมโนะ (Gimono) กำลังซื้อสินค้าจากทางร้าน
ภาพของ บรรจุภัณฑ์ใส (Plastic Packaging) ของ ขนมญี่ปุ่น (JapaneseSnacks) และการบรรจุขนม ที่เรามองรู้ทันทีว่าบรรจุอย่างเป็ยระเบียบมากๆ