Solo Travel in Tokyo เที่ยวโตเกียวคนเดียว DAY6 | Jampay Pain-Poin เป็นวันที่ 6 แล้วสำหรับการมาเที่ยวญี่ปุ่น

Solo Travel in Tokyo เที่ยวโตเกียวคนเดียว DAY6 | Jampay Pain-Point

ในเช้าวันที่ 6 (DAY6) ของการเดินทางมา Sightseeing เราตั้งใจที่จะไปทาน “เคเอฟซี” (KFC) ซึ่งเราเคยเห็นผ่านตาก่อนมาที่ญี่ปุ่นว่า “ KFC JAPAN” ที่นี่มีเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่เราชื่นชอบให้บริการด้วย ซึ่งเราก็อยากมาลองทานดูว่ามันจะรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่าข้อมูลในแผนที่บอกว่า เปิดให้บริการเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม เวลา 17.00 น.

วันนี้จึงตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาวางแผนเส้นทางที่เราจะไปเที่ยวชมเมือง และ ทำความเข้าใจ “วิถีชีวิต” (Lifestyles) ของผู้คนในเมืองโตเกียว (Tokyo) ว่าจะมีลักษณะอย่างไร ในวันนี้ก่อนที่ในช่วงเย็นเราจะไปทาน “เคเอฟซี” นั่นเอง

ซึ่งในช่วงเช้าวันนี้เราตั้งใจกลับไปที่ “ยานากะ” (Yanaka) อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้วางแผนผิดพลาด ทำให้เราถึงยานากะในช่วงค่ำ และไม่สามารถเดินดูเที่ยวชมในบริเวณนี้ได้ดีเท่าไหร่นัก

เอาล่ะ ไปเริ่มติดตามการเดินทางมาโตเกียวของเราในวันที่ 6  (DAY6) นี้กันดีกว่า ไปกันเลยยย ..


Remind: ทำความเข้าใจร่วมกัน 

  • สิ่งที่จะได้มากกว่า (Values) คือ สิ่งที่ได้จากการสังเกต มุมมองในการดำเนินธุรกิจ การตลาด และ การลงทุน มุมมองของผู้บริโภค รวมถึงมุมมองที่เข้าใจ “มือใหม่” เพราะ บางครั้งคนเราเขินอายที่จะถามคนอื่นว่าตัวเองไม่รู้ แต่สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เราว่ามีคุณค่ากับผู้อ่าน .. นอกเหนือภาพสวยๆ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะเราถ่ายรูปไม่เก่ง และภาพถ่ายจะไม่มีการแต่ง เกิดจากการปรับแสงหลังกล้องเฉยๆ ไม่มีการปรับความตรงใดๆ อาจจะดูเบี้ยวๆนิดนึง เพราะถ่ายมาเยอะมากครับ และจัดการภาพเยอะๆไม่เป็นด้วย และการไปครั้งนี้เราแทบไม่มีข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวอะไรมากมาย
  • จะมีการแสดงโฆษณาคั่นระหว่างบทความ (In-Article Ads) โดยทางเราจะระมัดระวังไม่ให้ขัดกับประสบการณ์ในการอ่านของผู้อ่านทุกท่าน เพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ต่อไป และหากมีผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุนบทความ ผู้อ่านทุกท่านจะได้รับประสบการณ์การอ่านแบบไม่มีโฆษณา
  • เพื่อเพิ่มอรรถรส (Utilities) เราจะมีชื่อเพลงที่เราเปิดในตอนนั้นระบุไว้ให้ ผู้อ่านสามารถเปิดเพลงนั้นๆเป็นพื้นหลังระหว่างการอ่านได้เช่นกัน เหมือน คุณผู้อ่านเข้ามาชมห้องแสดงงานศิลปะของเรา จะได้เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกขณะบันทึกภาพเหล่านั้น
  • เป็นใช้การพิมพ์เนื้อหาแบบบอกเล่ายาวๆ (Long Take) บางครั้งด้วยการพิมพ์จำนวนมากๆ คำผิดต่างๆ ที่อาจจะ “เล็ดลอด” สายตาเราไปได้ แต่เรากลับมาอ่านอีกครั้งเสมอ และพยายามแก้ไขคำไทยให้ถูกเสมอ หรือหากพบเห็น ก็สามารถแจ้งทางเราได้ และเมื่อแก้ไขแล้ว จะมีเครื่อง “…” ไว้ให้ เพื่อเป็นคำที่ถูกต้อง รวมถึงมี (…) ภาษาอังกฤษไว้ให้ สำหรับคำที่เรามองว่าเป็นประโยชน์


การเดินเที่ยวชม (Sightseeing) โตเกียว (Tokyo) แบบ Solo Travel ไปทานเคเอฟซี (KFC)

หลังจากวางแผนการเดินทางเรียบร้อย เราจึงตัดสินใจเดินทางด้วยรถไฟสาย “JR Chiyoda Line” จาก สถานีโอเตมาชิ (Otemashi Station) ไปยัง สถานีเซนดากิ (Sendagi Station) บริเวณย่าน ยานากะ

Yanaka – ยานากะ

Song ♫: Bolbbalgan4 (볼빨간 사춘기) – To My Youth (나의 사춘기에게)

เริ่มต้นตอนเช้าของวันที่ “ยานากะ” ซึ่งจากข้อมูลในแผนที่บอกว่าเป็น “หมู่บ้านโบราณ” เลยตั้งใจอยากมาเดินสำรวจดูบ้านเมือง และวิถีชีวิตของผู้คนในละแวกนี้ให้มากกว่านี้ หลังจากที่วันก่อนๆ วางแผนผิดจนมาถึงที่นี่ในเวลาที่มืดค่ำเกินไป

 

Solo Travel DAY6, Yanaka - ยานากะ, Solo Travel

Yanaka - ยานากะ

ตอนแรกนึกว่าวัด (Temple) แต่ไม่ใช่นะ เป็นสุสาน .. แต่ด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม โบราณ และ มีเอกลักษณ์ หรือเรียกว่า Antique เลยไม่พลาดที่จะถ่ายภาพมาไว้

 

, Solo Travel

เราสามารถพบเห็นอาคารบ้านเรือน ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ในสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณไว้ได้อย่างดี ตลอดเส้นทางการเดินเท้า สวยงามมากจริงๆ

Solo Travel DAY6,

 

Lucky Cat in Yanaka, yanaka, ยานากะ, Solo Travel

“Lucky Cat” ใน ยานากะ (Yanaka) – “แมวนำโชค” (Lucky Cat) ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุค เอโดะ (Edo). ด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ “มือขวาที่เรียกทรัพย์” และ “มือซ้ายที่เรียกผู้คน”  เหมือนนางกวักของบ้านเราเลย

Solo Travel DAY6, Lucky Cat in Yanaka, yanaka, ยานากะ, Solo Travel

เราสามารถพบ รูปปั้นแมว ได้ตามสถานที่ต่างๆบริเวณ ยานากะ (Yanaka) ในภาพแสดงให้เห็นรูปปั้นแมวอยู่บนหลังคาของร้านแห่งหนึ่ง

Solo Travel

ภาพนี้แสดงให้เห็นบ้านทรงโบราณที่ถูกนำติดกระจกใส ก็สามารถดูเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งในภาพนี้เป็นร้านขายอุปกรณ์จักรยาน

และด้วยลักษณะความเรียบง่ายของผู้คนที่นี่ สถาปัตยกรรมดั้งเดิมและสมัยใหม่จึงสามารถนำมารวมกันได้อย่างลงตัว และดูเป็นธรมมชาติมากๆ

Solo Travel DAY6,

ด้วยความที่ ยานากะ (Yanaka) เป็นเมืองที่ยังคงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และความดั้งเดิมของวัตนธรรมญี่ปุ่นเอาไว้ได้อย่างดี ในตอนแรกเราไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ คือ อะไร

มันคือ โรงเรียนอนุบาล นั่นเอง ซึ่งทำให้เรานึกถึงโรงเรียนสมัยประถมของเรา ที่สมัยก่อนมีอาคารเรียนลักษณะแบบนี้เช่นเดียวกัน เป็นอาคารเรียน 2 ชั้น และ สนามเด็กเล่นแบบบ้านเรือนไทย 2 ชั้น เป็นไม้ทั้งหลัง แต่ไม่กี่ปีถัดมาก็ทำการรื้อเพื่อสร้างอาคารเรียนใหม่ อาจจะเนื่องจากความทรุดโทรมของอาคารจากอายุที่เก่าแก่ ความถึงเหตุผลด้านความปลอดภัย หรือ รวมถึง การขยายอาคารเรียนเพื่อรองรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น แต่ทำให้อาคารเรียนดังกล่าวหายไป

Solo Travel DAY6,

ภาพนี้แสดงให้เห็นโทนสีและการใช้สีของร้านค้าต่างๆ  ซึ่งโดยส่วนตัวเราชอบโทนสีประมาณนี้มากๆเลย จะเป็นสีออกแนว สีเบจ (Beige) ซึ่งสอดคล้องกับ เทรนด์การแต่งกาย (Fashion Trends) ของวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นในปัจจุบัน ที่เราสามารถพบเห็นได้ในโตเกียว (Tokyo)

Solo Travel DAY6,

Solo Travel DAY6,

ภาพแสดงให้เห็นคุณลุงท่านหนึ่งกำลังทำความสะอาดบริเวณหน้าร้านของตนก่อนจะเปิดในบริการ เวลานั้นประมารณ 09.30 น. (9.30 a.m.) ทำให้บนทางเดินเท้า (Footpath) และถนนหนทางสะอาดมากๆ และมันก็สะอาดมากๆอยู่แล้ว ซึ่งตอกย้ำลักษณะของคนญี่ปุ่นที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ที่อยู่อาศัยของตนเอง และละแวกที่ตนอยู่อาศัย อันนี้เป็นข้อดีที่เราได้เรียนรู้จากการสังเกต

Yanaka Ginza – ยานากะกินซะ

Solo Travel DAY6,

Hakkodo,

เราไปถึงเช้าเกินไป ร้านแต่ละร้านส่วนมากจะยังไม่เปิดทำการ เพราะเวลาเปิดทำการแต่ละร้านจะอยู่ประมาณ 10.30 – 11.00 น. (10.30 – 11.00 a.m.) แต่ร้านกาแฟ คาเฟ่ ร้านอาหาร  ร้านขนม ก็มีจำนวนไม่น้อยทีเดียวในบริเวณ “ยานากะกินซะ” แห่งนี้ แต่โดยส่วนตัวเราไม่ใช้สายร้านคาเฟ่ สายขนมหวาน เท่าไหร่ เรามายานากะ เพราะ อยากมาเดินชมเมืองเก่ามากกว่า

ร้านกาแฟและคาเฟ่ที่เยอะเกินไปในบริเวณเดียวกัน 

ในมุมมองของเรา การที่ไม่ว่าจะสถานที่ไหน ประเทศใด .. การมีร้านกาแฟ (Coffee Shop) และ คาเฟ่ (Cafe) จำนวนมาก ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ “ล้นตลาด” (Oversupplying) ได้อย่างง่ายดาย เพราะแน่นอนว่า หากถามว่า ความใฝ่ฝันของผู้คนทั่วไป คืออะไร? คำตอบที่เป็นที่นิยม และ เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ คือ ผู้คนมักมีความต้องการเปิดร้านกาแฟเป็นของตนเอง

ซึ่งเป็นโจทย์ให้คิดต่อไปว่า

  • ร้านกาแฟของคุณ ดีกว่าร้านของคนอื่นอย่างไร? ทำไมลูกค้าเขาต้องมาซื้อมาทานที่ร้านคุณ
  • คุณมีสิ่งใดไปสู้กับแบรนด์เจ้าตลาด และ แบรนด์ร้านกาแฟของคุณแข็งแกร่งแค่ไหน เช่น บริการที่ดีกว่า ราคาที่ดีกว่า รสชาติที่ดีกว่า บรรยากาศที่ดีกว่า
  • จะทำอย่างไร เพื่อดึงลูกค้าไว้ที่ร้านของคุณ หรือ หากลูกค้าจะเยอะที่สุดในช่วงแรกของการเปิดร้าน จะทำอย่างไรให้ “ลูกค้าใหม่” กลายมาเป็น “ลูกค้าประจำ”
  • ควรจะซื้อวัตถุดิบเดือนละกี่ครั้ง
  • คุณควรจะขายได้วันละกี่แก้ว หรือ ขนมหวานกี่ชิ้น
  • ต้นทุนของคุณมีอะไรบ้าง แล้วต้นทุนต่อแก้วของคุณอยู่ที่กี่บาท
  • ต้นทุนค่าดำเนินการต่างๆที่คุณควรจะคำนวณและใส่ไปในราคาต่อแก้ว
  • คุณจะขายที่ราคาเท่าไหร่ คุณได้กำไรเท่าไหร่

สุดท้ายสิ่งที่เป็นตัวกำหนดจริงๆ คือ “ระบบการบริหารจัดการ” (Management) จะเป็นตัวชี้ชะตาธุรกิจของคุณได้เลย จนบางครั้งธุรกิจอาจจะไม่เติบโต แต่ก็ไม่ล้มหายตายจากไป ทรงตัวอยู่แบบนี้ หรือ บางธุรกิจไม่ได้มีแบรนด์อะไรมากมาย แต่ ระบบบริหารจัดการดี รวยแบบเงียบๆก็มี เศรษฐีใหม่เกิดขึ้นได้ทุกวัน

วัด (Temple) ในประเทศญี่ปุ่น (Japan)

Solo Travel DAY6,

วัด ของประเทศญี่ปุ่น สะท้อนแนวคิด “ความพออยู่พอเพียง” (Adequacy) ซึ่งหากเราไม่ได้สังเกต เราจะคิดว่าสถานที่ตรงนี้เป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือ วัดในแบบฉบับของชาวญี่ปุ่น

ซึ่งมีพระสงฆ์ หรือ นักบวช  จำพรรษาอยู่จริงๆ เราจะสังเกตได้จากภาพ ที่มีประตูเพื่อเข้าไปยังอาคารด้านหลัง หรือ กุฏิของนักบวช และอาคารเล็กด้านหน้า เปรียบเทียบได้กับ “อุโบสถ” ที่มี “พระพุทธรูป” นั่นเอง ประเมินด้วยสายตา อาคารหลังนี้สามารถอยู่อาศัยได้เพียง  1-2 รูปเท่านั้น ก็สามารถเลื่อนขั้น “ศาสนสถาน” แห่งนี้ขึ้นเป็น “วัด” ได้  ซึ่งยังสะท้อนแนวคิดการใช้พื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด สอดคล้องกับ มูลค่าที่ดินของประเทศญี่ปุ่น ดังที่กล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้

ซึ่งหากเป็นในประเทศไทย จำเป็นต้องมีพระสงฆ์มากกว่า 5 รูปขึ้นไป เพื่อให้สามารถรับ “กฐิน” ได้ ถือว่าเป็น สังฆกรรมหนึ่งในพระพุทธศาสนา ในฝ่ายเถรวาท จะสังเกตได้ว่า แม้เป็นศาสนาพุทธเหมือนกัน แต่ด้วยนิกายที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้ ข้อกำหนด ข้อบังคับ รูปแบบ และ ลักษณะบางอย่าง ไม่เหมือนกันทั้งหมดนั่นเอง

ส่วนผู้คนที่เดินเท้าผ่านไปผ่านมา จะเข้ามาทำพิธีทางศาสนา บูชา สักการะ สิ่งที่ตนเองยึดเหนี่ยว ด้วยการพนมมือ และ กราบไหว้ หลังจากนั้นจะสั่นเชือกเพื่อลั่นระฆังที่อยู่บริเวณเหนือศีรษะชึ้นไป


Ueno (อูเอโนะ) จุดพักผ่อนหลักของเราสำหรับการมาครั้งนี้เลย

Matsuya Ueno, Ueno, Solo Travel

 

“Matsuya Ueno”  เครือร้านอาหารจานด่วนสไตล์ญี่ปุ่น

Matsuya” เป็น “ร้านข้าวหน้าเนื้อ” (Beef Rice Bowl) ชื่อดังอีกร้านหนึ่งของญี่ปุ่น ราคาถูก ปริมาณพอเหมาะ รสชาติอร่อย และ บริการรวดเร็ว  แน่นอนว่ามี “สาขา” (Branches) อยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็น “เครือร้านอาหารจานด่วน” (Fast Food Restaurant Chains) นั่นเอง

บริหารงานโดย “MATSUYA FOODS HOLDINGS CO., LTD.” ซึ่งมีแบรนด์ร้านอาหารอยู่ภายใต้การกำกับดูแลในเครือ ประมาณ 11 แบรนด์ ทั้ง ร้านข้าวหน้าเนื้อ ร้านข้าวหมูทอดทงคัตสึ ร้านข้าวแกงกะหรี่ ร้านราเมน ร้านซูชิ รวมถึงคาเฟ่ เป็นต้น

ในมุมมองนักลงทุน .. การทำ “บริษัทโฮลดิ้ง” (Holding Company) กล่าวคือ การถือหุ้นและมีรายได้ในบริษัทอื่นเป็นหลัก ทำให้บริษัทสามารถเป็นเจ้าของกิจการในบริษัทร้านอาหารอื่นๆได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งบริษัทหลักจะถือเป็น “บริษัทแม่” (Holding Company) ซึ่งจะทำให้บริษัทแม่มีกิจการ ในที่นี้ คือ รูปแบบอาหารที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นทั้งการเสริมความแข็งแกร่งให่ธุรกิจ หรือ บางครั้งก็เป็นการควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งได้เช่นกัน ส่วน “บริษัทลูก” (Subsidiary) ก็ได้ประโยชน์จากเงินทุนในการขยายกิจการ หรือ สาขา เป็นต้น

Matsuya Ueno, Ueno, Solo Travel, Matsuya Ueno, Ueno, Solo Travel,

  • ข้าวหน้าเนื้อ (Beef Rice Bowl) ราคา 500 เยน (JPY) หรือ ประมาณ  142.50 บาท (THB) อิ่มอร่อย ในราคาประหยัด เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวสไตล์ Solo Travel มาคนเดียวกินคนเดียว รวดเร็ว สามารถไปต่อได้ทันที

Solo Travel DAY6, Matsuya Ueno, Ueno, Solo Travel,

จากภาพเราจะพอมองเห็นภาพและสัมผัส “พฤติกรรในการชำระเงิน” และ “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) ของชาวญี่ปุ่นกันได้อย่างไม่ยากนัก เพราะ แสดงให้เห็นจำนวนผู้ให้บริการแพลตฟอร์มตัวกลางในการชำระเงิน ที่มีให้เลือกใช้มากมาย

แต่ปัจจุบัน “Jampay” (แจมเพย์) ยังเป็น ผู้ให้บริการด้านเนื้อหาต่างๆ เพื่อสนับสนุนการศึกษาเท่านั้น แม้จะมีชื่อที่คล้ายคลึงกับผู้ให้บริการเหล่านี้ และยังไม่เลื่อนขั้นเป็น “ผู้ให้บริการระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์” (e-Payment Services Platforms) แบบพวกเขาเหล่านี้


Starbucks Coffee Atre Ueno (スターバックスコーヒー アトレ上野店)

Solo Travel DAY6, Starbucks Coffee Atre Ueno (スターバックスコーヒー アトレ上野店), Solo Travel

  • Iced Tall Americano + Sugar Donut 638 เยน (JPY) หรือ 181.83 บาท (THB)

เรามักเลือกนั่งพัก และทานกาแฟประจำวันที่ สตาร์บัคส์ (Starbucks) และ ทานของหวานเล็กน้อย รวมถึงเป็นการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆของเรา ถ้าใครได้อ่านตอนก่อนๆ คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าทำไมเราถึงเลือก สตาร์บัคส์ เป็นที่พักทานกาแฟของเรา

และที่ “Starbucks Coffee Atre Ueno” สาขานี้เป็นสาขาที่เรามักมาแวะนั่งพักผ่อน ทานกาแฟ ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังจุดหมายต่อๆไป เพราะเป็นสถานที่ที่สามารถเชื่อมเส้นทางรถไฟฟ้าไปยังส่วนต่างๆของเมืองได้ค่อนข้างง่าย รวมถึงที่แห่งนี้มีผู้คนเยอะมากๆ เป็นประโยชน์ในการนั่งสังเกตผู้คนไปด้วยในตัว

คู่นักศึกษาผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเรานั้น สนทนาเกี่ยวกับรายงาน กันอย่างจริงจังมาก หนึ่งคนพูดความเห็นของอีกคน และอีกคนก็จดบันทึกลงไปในกระดาษ และจากนั้นอีกคนก็พูดความเห็นของอีกคน แล้วก็จดบันทึกของไปในกระดาษเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะแสดงความเห็นกันอย่างจริงจัง แต่กลับดูนอบน้อมอย่างมาก เหมือนทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งเราฟังภาษาญี่ปุุ่นไม่ออกหรอก แต่จากภาษากายและท่าทางที่แสดงออกมาทำให้เรารับรู้ได้  และมีหยุดพักการรับประทาน ขนม ของว่าง ของหวานต่างๆ พลางเอามือปิดปาก และหันหลบเล็กน้อย


Naka-meguro (นากาเมะงุโระ) และ Daikanyama (ไดคังยามะ, ไดกันยามา)

หลังจากที่เราทานกาแฟเสร็จ เราก็ใช้รถไฟสาย Yamanote Line  จาก Ueno มายัง Nakameguro เพื่อใช้เวลาในช่วงสายๆที่นี่อีกครั้ง

ต้องบอกว่า .. เราอยากใช้เวลาอยู่ในแต่ละสถานที่ให้มากกว่านี้ เพราะให้เวลาทั้งวันก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถเดินเที่ยวชม สำรวจสถานที่ต่างๆได้ทั่วบริเวณ เพราะมีสถานที่ที่เราเดินผ่านไป และน่าสนใจมากมาย แต่เราสามารถรับประทานได้อย่างจำกัด และ บางครั้งเราไม่สามารถเข้าไปในทุกๆร้านได้ภายในเวลาอันน้อยนิด จึงอาศัยการสังเกตเป็นวงกว้างมากกว่า

และ การกลับมายังสถานที่ “นากาเมงุโระ” และ “ไดกันยามา” อีกครั้ง ในช่วงสายๆของวันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนัก เพราะ เป็นเส้นทางใกล้เคียงกับสถานที่ที่เราอยากไปมากที่สุด คือ “KFC Takadanobaba” นั่นเอง แต่เราจะใช้เวลาก่อนหน้ามื้อเย็นของเราในบริเวณนี้ ละแวกนี้เพิ่มเติมสักหน่อย

CURRY SHOP 井上チンパンジー 

Solo Travel DAY6, CURRY SHOP 井上チンパンジー , Solo Travel, กินเที่ยวญี่ปุ่น, ร้านข้าวแกงกะหรี่

Curry Shopp Inoue Chimpanzee” สำหรับร้านนี้คงไม่ต้องบอกว่า อร่อยหรือไม่ ดูจากการยืนต่อแถวของกลุ่มวัยรุ่น จริงๆเราสังเกตได้ตั้งแต่เมื่อวานก่อนแล้วว่าร้านนี้มีผู้คนต่อแถวกันมากมาย เท่าที่สังเกต ภายในร้านจะมีที่นั่งจำกัดมาก ทำให้สามารถรองรับลูกค้าได้จำนวนหนึ่งในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แม้ทางร้านจะมีมุม สั่งแบบกลับบ้าน (Take Away)
แต่แถวของผู้คนที่มายืนรอเพื่อเข้าไปนั่งรับประทานภายในร้านก็ยาวมากๆ และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงทั้งหมด ตัวเราเองไม่สามารถเข้าไปลิ้มลองรสชาติได้  เพราะ ดูจากปริมาณของผู้คนแล้ว เราคงต้องใช้เวลาค่อนข้างมากแน่ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพเหล่านี้มาเก็บไว้ เผื่อในอนาคตอันใกล้มีโอกาสได้กลับมาที่นี้อีกครั้ง และมีเวลามากกว่านี้ จะมาลองทานให้ได้เลย เราอยากรู้ว่าทำไมร้านนี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ วัยรุ่น วัยเรียน วันทำงานขนาดนี้

CURRY SHOP 井上チンパンジー , Solo Travel, กินเที่ยวญี่ปุ่น, ร้านข้าวแกงกะหรี่

 

ร้านนี้สวยดี ไว้มาคราวหน้าจะมานั่งทานเครื่องดื่มที่นี่ตอนกลางวัน นั่งสังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปมาด้วย บรรยากาศร้านก็ร่มรื่น เย็นสบาย

นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็น “วันฮาโลวีน” (Halloween Day) ก็เมื่อได้เห็นกลุ่มผู้คนที่แต่งกายเป็น ผี และ ปีศาล ซึ่งออกแนวน่ารัก และ คอสเพย์ (Cosplay) เสียมากกว่า ตามสไตล์ของวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น  และผู้คนที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็แต่งกายลักษณะนี้ เหมือนพึ่งเดินกลับจากงานเทศกาลอะไรสักอย่างมา

 

เราพบเข้ากับวัดของญี่ปุ่นอีกแล้ว ซึ่งเราได้อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้วว่า มีนักบวช หรือ พระสงฑ์อาศัยอยู่จริงๆในอาคารด้านหลังที่มีลักษณะเป็นกุฏินั่นเอง


“น้ำประปาที่ญี่ปุ่นกินได้จริงหรือ”

น้ำประปาที่ญี่ปุ่นกินได้จริงหรือ, Solo Travel

หลังจากที่เราเดินเท้ามาค่อนข้างไกล เริ่มหิวน้ำ เราเจออ่างน้ำในสวนธาราณะและสนามเด็กเล่น ซึ่งเราเคยได้ยินมานานว่า น้ำที่สวนสาธารณะที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นี้สามารถดื่มได้เลย เพราะสะอาดมาก ด้วยระบบการบริหารจัดการน้ำที่ดี และเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความอร่อยของอาหารญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

เราก็เลยตัดสินใจลองในครั้งนี้ซะเลย เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เคยลองดื่มแบบนี้สักที ทานแต่น้ำจากตู้กดน้ำ ซึ่งราคา 100 เยน (JPY) ประมาณ 30 บาท (THB) เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะ ถ้ามากับคนอื่นแล้วเรามีปัญหา เราจะเป็นภาระต่อคนอื่นได้ หรือ แต่มาการเที่ยวคนเดียว (Solo Travel) แบบนี้ ถ้าท้องเสียก็ไม่เสียเวลาคนอื่น และเราไม่ได้มีธุรกิจสำคัญที่ต้องไปพบใคร จึงตัดสินใจลอชิมดู

เรานำขวดน้ำที่ซื้อมาจากตู้กดน้ำที่มีอยู่ตลอดตามทาง พกมาติดกระเป๋าไว้ด้วย เพราะเราเป็นสายเดินเท้า ร่างกายต้องการน้ำอย่างมาก ในขณะที่เรานำขวดน้ำที่หมดแล้ว ออกมาวางตั้งข้างๆหัวจ่ายน้ำ เพื่อกรอกน้ำลงขวด เราก็ถ่ายภาพและวิดีโอไว้ด้วย

เราได้ยินกลุ่มคุณแม่ที่มาอยู่กับลูกๆที่สวนสาธารณะ (จากบทความก่อนเราได้อธิบายแล้วนะว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงเลิกเรียน และ เลิกทำงานกันไวกว่าปกติ) จับกลุ่มคุยกัน เราจึงหันไป เห็นเขาจับกลุ่มคุยกันแล้วชี้มาที่เรา แล้วยิ้มๆ พลางหัวเราะ

เราเลยถามไปเป็นภาษาอังกฤษว่า “น้ำมันทานได้ไหม .. ผมสามารถทานได้ไหม” (It’s an edible water, right? Can I drink the water?) พลางทำภาษามือ “กระดกน้ำดื่ม”

กลุ่มแม่บ้านก็ยิ้มอย่างเอ็นดู และ พยักหน้าว่าและยื่นมือลักษณะเชิญให้ดื่ม แสดงให้เห็นว่า มันดื่มได้ เราก็โค้งขอบคุณและลองดื่มดู พบว่า เหมือนน้ำที่เขาซื้อนั่นแหละ แต่จะเย็นน้อยกว่า เหมาะกับคนไม่ชอบดื่มน้ำเย็นๆมากนัก แต่ก็ไม่ได้ชอบดื่มน้ำร้อน เมื่อกรอกน้ำจนเต็มขวด เราก็เดินต่อ

 


Onibus Coffee Nakameguro

หลังจากกรอกน้ำเสร็จ เราก็เก็บขวดน้ำใส่กระเป๋าสะพายของเรา แล้วเงยหน้า มาเจอกับร้านนี้ ชื่อร้าน “Onibus Coffee” เป็นร้านที่มีผู้คนยื่นตอแถวอยู่พอสมควร รวมถึงคนไทยจำนวนหนึ่งด้วย เพราะได้ยินเสียงคนไทยพูดคุยกัน

เราจึงตั้งใจจะถ่ายรูปไว้เพื่อพาสาวมาด้วยในครั้งหน้า และ ถ่ายส่งไปให้ดู เธอตอบกลับมาว่า “อ๊าย ร้านนี้แหละที่อยากไป อยากไปถ่ายรูปด้วย ป๊ารู้ได้ไงคะ” เราก็บอกว่า “อ่าวหรอ เดินสำรวจมามั่วๆ เห็นมันสวยดี ก็เลยจะถ่ายเก็บไว้ว่าจะพามาคราวหน้า”

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

ทางร้านมีทั้งหมด 2 ชั้น  เป็นร้านไม่ใหญ่มากนัก ตกแต่งอย่างร่มรื่น บรรยากาศดี โดยที่ ชั้น 2 (2 Fl.) หากคุณนั่งบริเวณขวามือ (ผู้ชายขวามือในภาพบน) คุณสามารถมองเห็นทางรถไฟได้ และคุณสามารถนั่งมองรถไฟผ่านไปผ่านมาได้ตลอดเวลา แต่หากคุณนั่งบริเวณหน้าต่างทางซ้ายมือ (ผู้หญิงด้านซ้ายมือในภาพบน) คุณจะสามารถมองเห็นสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่นที่เราไปดื่มน้ำก่อนหน้านี้ได้

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

Onibus Coffee Nakameguro, Solo Travel,

 

 


เราตัดสินใจเดินทางต่อไปยัง “ไดกันยามา” (Daikanyama) หรือ “ได้คังยามะ” จากภาพแสดงให้เห็นว่าผู้คนที่นี่ใช้จักรยานกันเยอะมากแค่ไหน และเราได้อธิบายไปในตอน “DAY5” แล้ว เกี่ยวกับ ความกังวลบางอย่างของผู้คน

ภาพแสดงให้เห็นว่าผู้คนที่นี่เดินกันจริงจังมากๆ  เราแทบจะไม่ค่อยเห็นรถยนต์เท่าไหร่นก จะเห็นจักรยานเป็นส่วนใหญ่


Daikanyama (ไดคังยามะ, ไดกันยามา)

สถานีรถไฟ ไดคังยามะ (Daikanyama Station)

เป็นตัวอย่างการออกแบบ และการใช้พื้นที่ร่วมกับผุ้อื่นได้อย่างดี และเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะถ้าไม่สังเกตให้ดี จะไม่ทราบว่า ข้างๆร้าน “Pur Natur Belgium Yogurt Cafe” จะเป็นสถานีรถไฟ เพราะดูกลมกลืนอย่างมาก ดูเหมือนร้านอาหาร หรือ คาเฟ่อีกแห่งเท่านั้น ซึ่งตอนแรกเราเองก็งงว่า ร้านอะไรทำไมนเดินออกมาเยอะจัง รวมถึง เป็นการสร้างทางรถไฟลอดใต้เนินสูง และมาโผล่บนดินในช่วง “สถานีไดคังยามะ” พอดี เราค่อนนข้างชื่นชอบการก่อสร้างในลักษณะแบบนี้โดยส่วนตัว

การเดินช้อปปิ้งของคนญี่ปุ่น

เท่าที่เราสังเกต ผู้คนที่นี่ จะชื่นชอบการเดินเล่น เดินช้อปปิ้งที่ และใช้บริการตาม แหล่งช้อปปิ้ง หรือ ย่านการค้าต่างๆ ตามถนนในเมือง (Local Marketplace) โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มากกว่า “ห้างสรรพสินค้า” (Department Store) หรือ “ศูนย์การค้า” (Shopping Complex) เมื่อชื่นชอบสินค้าร้านไหน ก็จะหยุดเดินเพื่อยืนมองสินค้าภายในร้าน

ด้วยความที่ ร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งอยู่ตามท้องถนน (Stand Alone Shop) อยู่ทั่วบริเวณเมืองทั้งสองฝั่งถนน ทำให้ถนนเส้นต่างๆ แปรสภาพเป็น “ย่านการค้า” (Neighbourhoods) ให้ผู้คนสามารถเดินเล่น เดินชม ช้อปปิ้ง ตลอดเส้นทาง ทดแทน “ห้างสรรพสินค้า” โดย หากให้เปรียบเทียบ กับ ประเทศไทย (Thailand) ก็คงหนีไม่พ้นสถานที่ต่างๆเหล่านี้

  • “ย่านเยาวราช” (China Town, Bangkok)
  • “ย่านอารีย์” (Ari, Bangkok’s trendiest neighbourhood)
  • “ย่านนิมมานเหมินทร์” (Nimman Rd., Chiang Mai, Thailand)


Shibuya Station สถานีรถไฟชิบูยะ

หลังจากเดินจากเรียบจากสถานีรถไฟ “ไดกันยามา” จนมาเจอร้าน  WGT Weekend Garage Tokyo” เป็นร้านที่น่าสนใจมากๆเลย บรรยากาศเปิดโล่ง กว้างขวาง เหมาะแก่การมานั่งอ่านหนังสือ หรือ นั่งทำงาน นั่งพูดคุยพบปะกับเพื่อนๆ หรือคนรัก โดยมุมมองที่เราจะได้เพิ่มเติมก็ คือ รถไฟที่ผ่านไปมา เพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟชิบูยะ (Shibuya Station) นั่นเอง

 


Shin-Ōkubo (ชิน-โอคุโบะ)

หลังจากนั่งรถไฟสาย JR Yamanote Line จาก Shibuya Station มาลง Shin-Okubo Sation มาลงจากสถานีก็ทราบได้ทันทีว่าที่นี่คือ “ชุมชนชาวเกาหลี” (Korean Town) เพราะมีร้านอาหารเกาหลีเรียงรายอยู่มากมายตลอดเส้นทาง

Solo Travel DAY6, Shin-Ōkubo (ชิน-โอคุโบะ), Shin Okubo, Korean Town in Tokyo Japan, Solo Travel,

Homibing, Shin Okubo, Shin-Ōkubo (ชิน-โอคุโบะ), Shin Okubo, Korean Town in Tokyo Japan, Solo Travel,

  • Homibing Shin-Okubo (ホミビン)

Solo Travel DAY6, Shin-Ōkubo (ชิน-โอคุโบะ), Shin Okubo, Korean Town in Tokyo Japan, Solo Travel,

กลุ่มผู้คน นักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น วัยทำงาน ต่างพากันมาที่ย่านแห่งนี้ ผู้คนเยอะหนาแน่น โดยตลอดเส้นทางมีเสียงประชาสัมพันธ์เป็นภาษาต่างๆ ทั้ง ภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น จีน รวมถึงภาษาไทยด้วย เชิญชวนและต้อนรับผู้คนสู่ถนนเส้นนี้

จากสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ ชาวไทยอยากลองทานอาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี หรือ อาหารชาติอื่นๆ ชาวญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน ที่ต้องการรับประทานอาหารของชาติอื่นๆด้วย ดังนั้น เราจะสามารถสังเกตได้จากปริมาณผู้คนในย่านชุมชนชาวเกาหลีแห่งนี้  เป็นอีกหนึ่งย่านสำหรับเรา ที่มองว่า เราสามารถพบเห็นคนญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมากกว่าชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทย และกลับกัน หากเราไปที่ “ฮาราจูกุ-ชินจูกุ-ชิบูยะ” เราจะมีโอกาสพบเจอคนไทยและชาวต่างชาติได้มากกว่านั่นเอง

ดังนั้น หากต้องการทราบว่า จริงๆแล้วคนญี่ปุ่นเขาไปที่ไหนกัน เขารับประทานอะไรกัน? “ชินโอคุโบะ” (Shin-Okubo) สถานที่แห่งนี้คงเป็นหนึ่งในคำตอบแน่นอน หรือ ถ้าถามเราว่า สถานที่ใดใน “กรุงเทพมหานคร” (Bangkok) ที่มีคนจีนมาท่องเที่ยวเยอะ? เราก็จะตอบว่า “เอเชียทีค” (Asiatique) และ “เอ็มควอเทียร์” (Emquartier) หรือ “ห้างเอ็ม” เป็นต้น

Solo Travel DAY6,

ไก่ทอดของโปรดดด แต่ไม่ใช่ เราต้องเก็บท้องไว้สำหรับเคเอฟซีในมื้อเย็นเท่านั้น

Shin-Ōkubo (ชิน-โอคุโบะ), Shin Okubo, Korean Town in Tokyo Japan, Solo Travel,

Shin-Ōkubo (ชิน-โอคุโบะ), Shin Okubo, Korean Town in Tokyo Japan, Solo Travel,

เราเดินจาก “ชินโอคุโบะ” (Shin-Okubo) มุ่งหน้าไป “ทาคาดะโนะบาบะ” (Takadanobaba)

เขากำลังจะไปไหนกันนะ?

เราพบว่า กลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าเราในภาพ ออกมาจากร้านแห่งหนึ่ง ลักษณะคล้ายคาเฟ่ ร้านขายเสื้อผ้า และมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนเช่นกัน เราต้องการทราบว่า กลุ่มคนเหล่านี้จะเดินทางไปที่ใดกันต่อ เราจึงลองเดินตามไปดู พบว่า เมื่อ กลุ่มคนเหล่านี้เดินไปจนสุดมุมถนน กลุ่มคนเหล่านี้ก็ยืนพูดคุยกันอยู่บนถนน และมีกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากถนนอีกฝั่งหนึ่ง และมีคุณตำรวจหนึ่งนายยืนคอยสังเกตการอยู่

เมื่อเรายืนอยู่บริเวณพักใหญ่ ก็พบว่า กลุ่มคนเหล่านี้ยืนพูดคุยกันสักพัก ก่อนจะบอกลากันพลางโบกมือ เพื่อจะแยกย้ายขึ้นไปยังอาคารลักษณะคล้าย อพาร์ทเมนท์ คอนโดมิเนียม จำนวนชั้นไม่ต่ำกว่า 5 ชั้น ที่มีประตูคีย์การ์ดรักษาความภัย ด้วยสายตาเรามองว่าเป็นที่อาคารอยู่อาศัย และห้องพัก แต่ในแผนที่บริเวณนี้เป็น โรงเรียนอาชีวศึกษา โรงเรียน หรือ ห้องสมุด เป็นสิ่งที่เปิดประสบการณ์แก่เรามากๆ  หรือเราไม่สามารถแยกด้วยสายตาออกเลยว่า อาคารไหนเป็นบริษัทเอกชน อาคารไหนเป็นคาเฟ่ อาคารไหนเป็นโรงเรียน เป็นต้น ลักษณะอาคารคล้ายคลึงกันไปหมด เราจึงไม่สามารถสรุปข้อเท็จจริงได้ว่า จริงๆกลุ่มคนเหล่านี้กลับขึ้นห้องพัก หรือ กลับเข้าไปโรงเรียน วิทยาลัย หรือ เดินเข้าไปในบริษัท

ทำให้เราคิดไปว่า บริเวณนี้เป็นย่านของอาคารที่อยู่อาศัย (Residences) และสถานศึกษา ซึ่งแต่ละคนก็อาศัยอยู่ในห้องพักของตนเอง ภายใน คอนโดมิเนียม และ ใช้การเดินจากโรงเรียน ที่ทำงาน ไป-กลับจากบ้านและสถานที่ต่างๆ เพราะมีความใกล้กันมาก และถือว่าอยู่ในชุมชนนั่นเอง

แต่จากการหาความเชื่อมโยงใน Google Maps พบว่าแต่ละสถานที่ มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ สัญลักษณ์รูปตัว B และคำว่า “Nichibi” ซึ่งเมื่อค้นหาพบว่า ชื่อของกลุ่มอาคารที่กระจายในบริเวณนี้ คือ Nichibi เป็นสถานศึกษา หรือ Campus เกี่ยวกับสถานเสริมความงามเฉพาะทางนั่นเอง

กล่าวคือ วิทยาลัยแห่งนี้ มีอาคารเรียนกระจายอยู่ตามอาคารต่างๆในบริเวณนั้น ลักษณะเหมือนอาคารพนาณิชย์ หรือ อพาร์ทเม้นท์ ซึ่งนักศึกษาต้องเดินไปมาระหว่างอาคารต่างๆในละแวกนั้น ซึ่งอธิบายลักษณะของการใช้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดได้ที่ที่สุด


KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan

ได้เวลาที่เรารอคอยมาแสนนาน หลังจากเดินมาทั้งวัน การได้ทานไก่ทอด “เคเอฟซี” และ เครื่องดื่มเย็นๆ เป็นสิ่งที่เราต้องการอย่างมากในตอนนี้ .. เราเดินมาจนถึง “KFC Takadanobaba” บริเวณ “สถานีรถไฟ ทาคาดะโนะบาบะ”  (Takadanobaba Station)

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี, Suntory, KFc Whisky, Solo Travel

เราไม่รอช้าที่จะสั่งไก่ทอด และ เครื่องดื่มเย็นๆ มารับประทาน เพื่อเป็นการทานมื้อเย็น และพักผ่อนหลังจากเดินทางมาทั้งวัน พอสอบถามพนักงาน จริงๆเครื่องดื่มเขาให้บริการทั้งวันนะ ถ้ารู้แบบนี้มาตั้งแต่กลางวันแล้ว (ฮ่าๆ)

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี, Suntory, KFc Whisky, Solo Travel

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี, Suntory, KFc Whisky, Solo Travel

  • Fried Chicken Set and Nuggets, Pie Donuts with KFC’s Wisky and Suntory Premium Malt’s Beer ทั้งหมด ราคา 2,920 เยน (JPY) หรือ 832.20 บาท (THB)

“ไก่ทอดดั้งเดิม” (Original Crispy Fried Chicken) เป็นไก่ทอดแป้งกรอบ แต่ไม่ได้กรอบเหมือนที่ ประเทศไทย กลิ่นหอมเนย รสชาติอ่อนกว่าเล็กน้อย และรสสัมผัสที่เป็นน้ำมันมากกว่า เพราะว่าเป็นเมืองหนาว รสชาติ “โชยุ” (Shoyu) ซึ่งเป็นรสชาติพื้นฐานของประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว

“ไก่ทอดรสเผ็ด” (Spicy Crispy Fried Chicken) รสชาติ “ปลาเห็ด” หรือ “ทอดมัน” มีกลิ่นพริกไทยดำ (Black Pepper) เพิ่มเติมมานิดหนึ่ง ให้อารมณ์การกินขนม “คาราด้า”

“ไก่ไม่มีกระดูด” (ฺBoneless Fried Chicken) รสชาติคล้ายชีส (Cheese) แต่ แป้งทอดเหมือนแป้งทอดทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่เหมือนที่ประเทศไทย

“นักเก็ต” (Nuggets) รสชาติให้ได้ทีเดียว พริกไทยดำนำ (อย่างที่เราได้อธิบายไว้ในบทความ DAY4) และ รสชาติซาวครีม (Sour Cream) ตามมา

“เบียร์ซันโทรี่” (Suntory Premium Beer) รสชาตินุ่ม ละมุน ทานง่าย หอมมาก หากให้เปรียบเทียบ เบียร์ที่เป็นที่รู้จักของคนไทย คือ มีลักษณะแบบ “โฮการ์เด้น” (Hoegaarden)

“วิสกี้ของเคเอฟซี” (KFC’s Whisky) มี เลม่อนมาให้ 1 ชิ้น หากให้เปรียบเทียบ วิสกีี้ ที่เป็นที่รู้จักของคนไทย คือ มีลักษณะแบบ  “จิม บีม” (Jim Beam) และ “แจ็คเดเนียล” (Jack’s Daniel) ส่วนรสชาติโดยรวม อธิบายง่ายๆ คือ นำวิสกี้หนึ่งในสองยี่ห้อนี้ 1 ช็อต (Shot) ผสมกับน้ำมะนาวและโซดา หรือ เครื่องดื่มชเวปส์ (Schweppes) อร่อยมากๆ

“โดนัทพาย” (Pie Donut) ตัวแป้งที่ เค็ม หอม มัน ตัดกับความหมายของน้ำผิ้ง Maple Honey ราดลงบนโดนัทพาย ช่วยล้างปากหลังจากทานอาหารคาวได้ดี

เพลงที่เปิดในร้านเคเอฟซีที่ญี่ปุ่น สาขานี้ เป็นแนว (Genres) Alternative Rock, J-rock, Pop-Rock, American Rock เป็นต้น แสดงให้เห็นว่า คนญี่ปุ่นยังชื่นชอบการฟังเพลงแนวร็อคอยู่ ซึ่งโดยส่วนตัวเราเป็นคนที่ชื่นชอบการฟังเพลงแนวร็อคอยู่แล้วด้วย ยิ่งเป็นการผ่อนคลายเข้าไปอีก

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี, Suntory, KFc Whisky

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี,

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี,

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี,

ภาพแสดง “รายการอาหาร” และ “ราคา” ของแต่ละรายการ หากเทียบเป็นเงินบาทไทย (THB) อาจจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าที่ประเทศไทยเล็กน้อย แต่หากเทียบกับ “รายได้ขั้นต่ำโดยเฉลี่ย” (Average Minimum Wage) ถือว่า ถูกกว่ามาก

KFC Takadanobaba, Tokyo, Japan, เคเอฟซี,

โดยสรุป  “KFC Thailand”  ถูกใจเรามากกว่าอยู่แล้ว เพราะว่า เราเติบโตมากับมัน และชื่นชอบรสชาติของเคเอฟซีที่ประเทศไทยมากกว่า แป้งกรอบที่เราคุ้นเคย รสชาติที่มีความเผ็ด ความเข้มข้นของเครื่องเทศ ที่ถึงเครื่องมากกว่า (ตอนพิมพ์อยู่นี้ก็อยากทานขึ้นมาอีกแล้ว เขียนบทความนี้เสร็จจะออกไปซื้อมาทาน ฮ่าๆ)

ส่วน  “KFC Japan ก็จะเป็นตัวแทนรสชาติ รสสัมผัสที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ รสชาติของโชยุ (Tastes of Shoyu) เป็นรสชาติแห่งวัฒนธรรมของญี่ปุ่น และลักษณะการทอด หรือ รสสัมผัสต่างๆ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมการกินของผู้คนที่นี่ แต่ถามว่าเราทานได้ไหม เราทานได้หมด เราทานอย่างเคารพอาหารของชาติอื่นด้วย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เราไปบอกไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ว่าทำไมเราถึงเลือกรับประทานอาหารในแบรนด์ใหญ่ๆ มากกว่า ไปทานที่ร้านในชุมชน

และบางอย่าง เราไม่สามารถเข้าใจได้ผ่านข้อมูลออนไลน์ เพราะบางพฤติกรรม ถูกกระทำเฉพาะในเหตุการณ์ออฟไลน์ หรือในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าเราไม่มาเห็นด้วยตาตัวเอง เราคงอาจจะไม่เข้าใจ ยกตัวอย่าง “ซอส” (Sauce) ที่ ประเทศไทย หากลกค้าทานที่ร้าน ตรงเคาน์เตอร์สำหรับหยิบอุปกรณ์ต่างๆ จะมีซอส ให้ลูกค้าสามารถกดซอสได้เท่าที่ต้องการให้เพียงพอกับการรับประทาน ในขณะที่ญี่ปุ่น พนักงานจะให้ซอสต่างๆจากเคาน์เตอร์ให้บริการเลย ซึ่งเราพยายามองหาที่กดซอสเพิ่มเติมแล้ว แต่เราก็เลือกที่จะทานตามรูปแบบที่มี เพื่อให้เข้าใจวัตนธรรมให้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อน “พฤติกรรม” (Behaviors) การกิน ของผู้คนในประเทศนั้นๆ ดังนั้น การบริการต่างๆจากแบรนด์จึงต้องบริการอย่างตอบสนองกับกลุ่มลูกค้าของตนเองนั่นเอง ว่า คนไทยชอบแบบบนี้ หรือ คนญี่ปุ่นชอบแบบนี้ หรือ มีวัฒนธรรมแบบนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนผ่านการสำรวจและทำการบ้านมาอย่างดีของแบรนด์ต่างๆเหล่านี้แล้วทั้งสิ้น


รถรางสายซากูระโตเกียว  (Tokyo Sakura Tram)

เราได้อธิบายไปในตอน “DAY5” แล้วว่า เหมาะสมในการนำมาทำที่ จังหวัดพิษณุโลก (Phitsanulok, Thailand) โดยรถรางสายนี้ ให้บริการจาก สถานีวาเซดะ (Waseda Station) ถึง สถานีอาซุกะยามะ (Asukayama Station) เป็นระยะทางประมาณ 10 – 15 กิโลเมตร (km) เท่านั้น เรียกว่า เป็นรถรางที่ให้บริการช่วงสั้นในเฉพาะเขตพื้นที่ตัวเมืองนั่นเอง เป็นทางเลือกให้แก่ผู้คนได้ใช้สัญจรไปมาภายในเมือง

 

รถรางสายซากูระโตเกียว  (Tokyo Sakura Tram), Solo Travel,

เราชื่นชอบอะไรแบบนี้มากเลยนะ อะไรที่เป็นการใช้ประโยชน์ร่วมกัน จากภาพจะเห็นว่า มีทั้งทางสำหรับรถราง ทางคนเดินเท้า และ ถนนสำหรับรถยนต์ ซึ่งไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางการสัญจรของกันและกัน

รถรางสายซากูระโตเกียว  (Tokyo Sakura Tram), Solo Travel,

รถรางสายซากูระโตเกียว  (Tokyo Sakura Tram), Solo Travel,

ตัวอาคารสำหรับสถานี พอดีและเหมาะสมสำหรับการเดินขึ้น-ลงรถราง ยืนรอ หรือ นั่งรอ เป็นต้น และ รางสำหรับใช้เดินรถ กินพื้นที่ไม่มากนัก จะเห็นได้ว่า ให้พื้นที่เกาะกลางถนนให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าด้วยการสร้างเป็น เส้นทางสำหรับรถราง (Tram) ขึ้นมา

รถรางสายซากูระโตเกียว  (Tokyo Sakura Tram), Solo Travel,

รถรางสายซากูระโตเกียว  (Tokyo Sakura Tram), Solo Travel,

รถรางสายซากูระโตเกียว  (Tokyo Sakura Tram), Solo Travel,

จากภาพแสดงให้เห็น สถานีวาเซดะ (Waseda Station) เป็น สถานีต้นทางสำหรับรถรางสาย ซากูระโตเกียว กล่าวคือ เมื่อขบวนรถรางมาถึง พนักงานขับรถรางจะเดินสลับกลับไปอีกด้าน เพื่อนำขบวนออกจากชานชาลาอีกครั้ง


PAINPOINT  #11 : วิธีการแช่บ่ออนเซ็นที่ถูกต้อง 

หลังจากเราเดินเท้าระยะทางไกลในวันนี้ เมื่อกลับถึงที่พัก เราตัดสินใจจะลงแช่เฉพาะเท้าเพื่อบรรเทาอาการปวด เมื่อเรากลับถึงที่พัก เราก็ได้เดินไปล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้า ที่ช่องสำหรับอาบน้ำก่อนลงแช่อนเซ็น (Onsen)

เราก็เดินลงไปในบ่อแค่เท้าและยืนอยู่เพื่อแช่บ่อออนเซ็น มีคนญี่ปุ่นหนึ่งคนกำลังนั่งแช่อนเซ็นอยู่ เขาก็ถามเราว่า “คุณมาเที่ยวหรอ?” เราก็บอกว่า “ใช่ครับ”

เขาก็บอกกลับเราว่า “วิธีแช่อนเซ็นที่ถูกต้อง คือ ต้องอาบน้ำ ล้างตัว สระผม อะไรให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงค่อยมาลงแช่อนเซ็น ล้างเท้าอย่างเดียวไม่พอ เพราะ บ่ออนเซ็นเป็นบ่อรวมสำหรับทุกคน ทุกๆคนจึงต้องอาบน้ำ สระผม ชำระล้างร่างกายให้สะอาดเรียบร้อยก่อน”

เราก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่บอกว่า “เราไม่ค่อยคุ้นเรื่องการแช่อนเซ็นสักเท่าไหร่ เราไม่ได้ตั้งใจจะไม่ทำตามกฏหรืออะไร เราก็ทราบมารยาทในการลงสระว่ายน้ำอยู่ และก็คิดว่าการล้างเท้าน่าจะเพียงพอ ต้องขอโทษมากๆจริงๆ”

เขาก็ถามเราต่อว่า “คุณมาเที่ยวกี่วัน? แล้วมาทำธุรกิจ หรือ มาเชี่ยวชมเฉยๆ” เราตอบก็บอกว่า “9 วัน วันนี้วันที่ 6  ของเราแล้ว เรามาเพื่อพักผ่อน และเที่ยวชมเพื่อเข้าใจความเป็นญี่ปุ่นให้มากขึ้น” เป็นการคุยที่ค่อนข้างเปิดเผยเลย และเปิดประสบการณ์ทีเดียว และก็คุยกันไปได้อีกสักพัก เราก็ขอตัวกลับออกมา

ที่ต้องเล่าให้ฟังอย่างนี้ เพราะ เราอาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้บ่อยๆก็ได้ และบางครั้งเราก็ทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัว แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า เมื่อเราผิดพลาดแล้วเราต้องปรับปรุง และนำมาบอกคนอื่นๆเพื่อให้เป็นประโยชน์ด้วย

 

และการทัวร์ญี่ปุ่นคนเดียว (Solo Travel) ของเราในวันที่ 6 (Day) ก็จบลงประมาณนี้ เราได้ทานเคเอฟซีสมใจอยากแล้ว เอาเป็นนอนหลับสบายแน่ๆคืนนี้

โปรดติดตามตอนต่อไป 

#JampayPainPoint