ลงทุนอะไรดี, ลงทุนอะไรดี pantip, ลงทุนอะไรดี 2022, มีเงิน 1000 ลงทุนอะไรดี 2564, ลงทุนอะไรดีที่สุด, มือใหม่ ควร ลงทุน อะไรดี, ลงทุนอะไรได้บ้าง, ลงทุนอะไรดี ช่วงโควิด, มีเงิน 5000 ลงทุนอะไรดี, เงินเฟ้อ, เงินเฟ้อปัจจุบัน, เงินเฟ้อเงินฝืด, เงินเฟ้อ แก้ไข, เงินเฟ้อ 2564, เงินเฟ้อ สรุป, เงินเฟ้อสหรัฐ, เงินเฟ้อ ภาษาอังกฤษ, ผลกระทบ เงินเฟ้อ
ลงทุนอะไรดี เงินเฟ้อขนาดนี้
การลงทุนใน หุ้น ปัจจุบันยังน่าสนใจอยู่หรือไม่? .. ภาพรวมผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวในหุ้นปันผล ในตลาดหุ้นตลอดระยะเวลาการลงทุนของแจมเพย์ อยู่ที่ 5.44% ซึ่งลดลงจาก 2-3 ปีก่อนหน้านี้อย่างมาก จากผลตอบแทนเฉลี่ย ระดับ 15-21% แต่ เมื่อเทียบผลอตบแทนกับ SET Index, SET50 Index, SET100 Index และกองทุนต่าง ๆ ถือว่า อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ ในสภาวะภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดโลกลักษณะนี้
แต่ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทย อยู่ที่ 7.1 % (มิถุนายน 2565) ซึ่งผลตอบแทนการลงทุนของแจมเพย์ยังถือว่า ไม่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ จึงต้องมีการทบทวนแผนการลงทุนใหม่ในปี 2565 เพื่อปรับพอร์ตการลงทุน หรือ หาวิธีการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถมีผลตอบแทนมากกว่า เงินเฟ้อในปัจจุบันได้ จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง .. เราของไปศึกษากันเลย
** ไม่ใช้การชักชวนเพื่อการลงทุน เป็นเพียงแนวทางการปรับพอร์ตการลงทุนของแจมเพย์ และเขียนบทความเพื่อให้ความรู้เท่านั้น การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้อ่านต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและตัดสินใจอย่างรอบคอบทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน **
สารบัญ
– เงินเฟ้อคืออะไร
– ทำไมต้องลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อ?
– สรุปเนื้อหา7บรรทัด โดย แจมเพย์
- หุ้น คืออะไร? แล้วเราจะได้อะไรจากการเล่นหุ้นบ้าง?
- หวย (Lotteries) หุ้น (Stocks) การเทรด (Tradings) มีข้อดี ข้อเสีย ต่างกันอย่างไร?
- การเลือกตั้ง ส่งผลดีกับ เศรษฐกิจ อย่างไร?
เงินเฟ้อ คืออะไร? (Inflation)
แจมเพย์จะอธิบายอย่างเข้าใจง่ายที่สุด ..
เงินเฟ้อ คือ ภาพรวมสินค้ามีราคาที่สูงขึ้น จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่าง เรามีเงิน 100 บาท ราคาข้าวต่อจาน จานละ 50 บาท ต่อมา เงินเฟ้อ 7.1% ทำให้ราคาข้าวต่อจานปรับขึ้นเป็น 55 บาทต่อจาน จากที่ผู้อ่านมีเงิน 100 บาท เคยซื้อได้ 2 มื้อ แต่ผู้อ่านจะซื้อได้เพียง 1 มื้อ และเหลือเงิน 45 บาท เป็นต้น
ทำไมต้องลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อ? (Return on Investment vs Inflation Rising)
แจมเพย์จะอธิบายอย่างเข้าใจง่ายที่สุด ..
จากการที่เงินเฟ้อ 7.1% นั่นหมายถึง กำลังซื้อ (Purchasing Power) ของเรา ลดลง 7.1% ด้วยเช่นกัน หากเรายังมีเงินหรือ รายได้ (Income) เท่าเดิม ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนให้มากกว่าเงินเฟ้อ เพื่อให้เรายังสามารถรักษากำลังซื้อของเราอยู่ได้ในสภาพเศรษฐกิจลักษณะนี้ ซึ่งในสภาพเศรษฐกิจลักษณะนี้ การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่า 7.1 % เป็นเรื่องที่ค่อนข้างทำได้ยากมากเช่นเดียวกัน และการไม่ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนอะไรเลย คือ การที่ทำให้เราจนลงตามอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน
ลงทุนอะไรดี?..
1. หุ้น (Stocks)
1.1 เพิ่มสัดส่วน การเทรดรายวัน (Day Trade) เพื่อผลตอนแทนและทำกำไร
ยกตัวอย่าง ลงทุน หุ้น A จ่ายปันผลระหว่างกาลต่อหุ้น 0.19 บาท เมื่อเทียบผลตอบแทนแล้ว อาจจะได้ผลตอบแทน 1-2% โดยอาจจะได้รับผลตอบแทนมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคาร แต่ในขณะเดียวกัน ราคาหุ้นปรับตัวไปสูงกว่า 10% .. ซึ่งการเลือกทำกำไรระยะสั้นจากส่วนต่างราคา อาจจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าทันที
- แบ่งทำกำไรบางส่วนเพื่อยังคงมีหุ้นไว้สำหรับการรับปันผลในรอบถัดไป
- ได้รับผลตอนแทนจากส่วนต่างราคาที่มากกว่าผลตอบแทนจากปันผล
1.2. ลดสัดส่วน การลงทุนหุ้น ที่ให้ปันผลลดลงใน 2 ปีที่ผ่านมา
การลดสัดส่วนนี้ เป็นการลดสัดส่วนการลงทุนในระยะสั้น ในหุ้นรายตัวที่เราได้ทำการเลือกมาอย่างดีแล้ว เพื่อเลือกทำกำไรบางส่วนจาก ส่วนต่างราคา (Capital Gain) แทน และทำการซื้อหุ้นเหล่านั้นอีกครั้ง ในต้นทุนใหม่หลังจากที่ทำการขายทำกำไรแล้ว
2. คริปโต หรือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)
คริปโต หรือ คริปโทเคอร์เรนซี คือ สกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ผ่านการเข้ารหัส การจะดำเนินการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของสกุลเงินดิจิทัลนี้ต้องผ่านบล็อกเชน (Blockchian) ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยม อาทิ Bitcoin (BTC), Ether (ETH), KUB, DOGE, ALPHA, SAND, SOL, BAND, ADA เป็นต้น ซึ่งรายตัว เป็นสกุลเงินจากบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่ทำการลิสต์เหรียญคริปโตเพื่อทำการระดมทุนในการพัฒนาบริษัทหรือบริการของตน
ซึ่งการเทรดคริปโตในปัจจุบันมีผู้ให้บริการมากมายในไทย อาทิ Bitkub, Satang Pro, Zipmex, Binance เป็นต้น
ปัจจุบัน ตลาดคริปโต มีความผันผวนอย่างมาก ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการลงทุน แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจจะเป็นโอกาสสร้างผลกำไรได้จากการเทรด สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง
3.ปล่อยเงินกู้ระหว่างบุคคลทั่วไปผ่านแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องผ่านธนาคาร (Peer-to-Peer Lending)
แจมเพย์ มีมุมมองเกี่ยวกับการเล่นแชร์ของคนไทย โดยหากลองคำนวณดี ๆ ผลตอบแทนจากการเป็นผู้เปียแชร์มีสุดท้าย อาจได้ผลตอบแทนสูง 19-20 % ในทีนี้แทบจะชนะทุกการลงทุน และผู้ที่ต้องการใช้เงินด่วน หรือ ผู้ที่เปียมือที่ 1 อาจยอดเสียดอกเบี้ยถึง 19-20% เช่นเดียวกัน
ซึ่งหากสามารถแปลงการเล่นแชร์นอกระบบเหล่านั้น ให้กลายเป็น การปล่อนเงินกู้ระหว่างบุคคลทั่วไป “นาโนไฟแนนซ์” (Nano -Finance) ในระบบมือแพลตฟอร์มสตาร์ทอัพ (Start-up) หรือ ธนาคารจะลงมาเป็นผู้เล่นเองและเก็บค่าคอมมิชชั่น (Transaction Fee) กำกับดูแลโดยหน่วยงานของรัฐ และมีการเสียภาษีอย่างถูกกฏหมาย โดยใช้ระบบบล็อกเชนในการติดตามการให้กู้และการชำระเงินกู้ผ่านหมายเลขบัตรประชาชน หรือ การระบุตัวตนแบบดิจิทัล (Digital Identity) ใน Web 3.0 ในอนาคตอันใกล้อาจทำให้สามารถดึงเงินสดในออกมาสู่ระบบการเงินของประเทศได้เพิ่มขึ้น
รวมถึง ผู้ที่มีเงินสดในมืออย่าง แจมเพย์ จะสามารถนำเงินสดมาปล่อยกู้ให้แก่บุคคลทั่วไป และได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยได้เช่นเดียวกัน
เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ อาจจะเข้าไม่ถึงระบบบัญชีเงินฝาก หรือ แหล่งเงินกู้ที่จำเป็นต้องใช้หลักฐานการพิสูจน์ตัวตน (e-KYC) หรือหลักฐานทางการเงินต่าง ๆ เพื่ออนุมัติเงินกู้
ยกตัวอย่าง ผู้ให้บริการสินเชื่อระหว่างบุคคลในประเทศไทย กลุ่ม FinTech อาทิ เนสท์ติฟลาย (NestiFly), ฟินนิกซ์ (FINNIX) มันนิกซ์ (MONIX)
4.ศึกษา Web 3.0 และการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อรองรับอนาคตเพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทน
แม้ว่า แจมเพย์ จะยังไม่ได้เข้าใจ Web 3.0 ทั้งหมด แต่ในอนาคตอันใกล้ จะมีการพัฒนาจาก Web 2.0 เป็น Web 3.0 และอาจส่งผลต่อการพัฒนาเว็บไซต์และภาพรวมการใช้งานของผู้ใช้งาน
ซึ่งปัจจุบัน แจมเพย์ สามารถสร้างรายได้ Passive Income และผลตอบแทนที่มากกว่าเม็ดเงินที่ลงทุนไป จากเว็บไซต์ jampay.in.th ตลอดเวลา
ทั้งนี้ Web 3.0 ที่กำลังจะมา อาจจะกระทบต่อพฤติกรรมและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน และข้อบังคับในการนำข้อมูลดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ ซึ่งทำให้กระทบรายได้และผลตอบแทนของแจมเพย์ แต่อีกทางหนึ่ง หากเราสามารถเข้าใจและปรับตัวได้ทันก่อนผู้ให้บริการรายอื่น ๆ สิ่งนี้อาจเป็นโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ
5.สร้างธุรกิจ ที่มีผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ
พูดอย่างเดียวอาจจะฟังดูง่าย แต่ไม่ง่ายแบบนั้น การทำธุรกิจส่วนตัวให้ได้รับผลตอบแทนมากกว่า อัตราเงินเฟ้อ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก หากผู้ประกอบการไม่มีความรู้ความเข้าใจในการบริหารธุรกิจ และแจมเพย์เลือกนำมาไว้ในหัวข้อหรือทางเลือกสุดท้าย
ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของประเทศไทยส่วนใหญ่ ยังเป็นรูปแบบกิจการในรูปแบบที่มีต้นทุนในการดำเนินการดำเนินการ (Operating Expenses : OPEX) ที่สูง ทำให้กำไรขั้นต้น (Billing Margin) และกำไรสุทธิ (Net Profit) อยู่ในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับสัดส่วนที่ควรจะเป็น
แจมเพย์ เคยได้พูดคุยกับ ผู้ประกอบการที่ “ขายดีจนเจ๊ง” มาด้วยตนเอง กล่าวคือ ผู้ประกอบการคิดว่า การสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวเพียงพอแล้วสำหรับการทำธุรกิจ
ซึ่งการสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จได้ หากผู้ประกอบการยังไม่ทราบถึงต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทางธุรกิจของตนเอง อาทิ ภาษีซื้อ ภาษีขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต้นทุนต่อหน่วย ต้นทุนแฝงต่าง ๆ เป็นต้น ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถสร้างธุรกิจที่ก่อให้เกิดกำไร และธุรกิจไม่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อ
หรือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งบางธุรกิจมีการดำเนินการกู้เงินสื่นเชื่อจากสถาบันการเงินมาเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในธุรกิจระยะสั้น ดังนั้น ธุรกิจใด ที่ยังดำเนินธุรกิจแบบขาดทุนเพื่อสร้างยอดผู้ใช้งาน หรือ ภาพรวมกิจการยังขาดทุนอยู่ อาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากภาพรวมเทรนด์อัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้น อาจทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก
ดังนั้น การทำความเข้าใจต้นทุนต่อหน่วยและการตั้งราคาสินค้า (Pricing) ของธุรกิจ มีความสำคัญมากในการเริ่มต้นทำธุรกิจ และการคำนึงถึงการทำธุรกิจและดำเนินธุรกิจอย่างมีกำไรตั้งแต่แรก
ตัวอย่างแนวคิดธุรกิจ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้มากกว่าเงินเฟ้อได้ ยกตัวอย่าง ธุรกิจสตาร์ทอัพแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการให้บริการ อาทิ แพลตฟอร์มผู้ให้บริการโซลูชั่นทางธุรกิจ แพลตฟอร์มผู้ให้บริการตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล แพลตฟอร์มผู็ให้บริการแบบสมัครสมาชิกรายเดือนต่าง ๆ (Subscribtion) เป็นต้น
สรุปเนื้อหา7บรรทัด โดย แจมเพย์ | เรื่อง ลงทุนอะไรดี เงินเฟ้อขนาดนี้
สรุปเนื้อหา7บรรทัด ขอสรุปให้ดังนี้ว่า .. การไม่ลงทุนอะไรเลยมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ของผู้อ่านเท่าเดิม จะทำให้ผู้อ่านกำลังซื้อลดลงเทียบเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ
ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับประชาชนทั่วไปที่จะเข้าถึงการลงทุนต่าง ๆ และสร้างผลตอบแทน เพราะลำพังการหารายได้ให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งที่ยากเพียงพออยู่แล้วแต่อย่างน้อยผู้อ่านได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจภาพรวมแนวคิด การลงทุน การสร้างผลตอบแทน และอัตราเงินเฟ้อ ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ชนะอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันจึงมีความสำคัญอย่างมาก
อ้างอิง:
– อัตราเงินเฟ้อ โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย
– การลงทุนในหุ้น โดยตลาดหลักทรัพย์
– Peer-to-peer Lending โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย